ผมเห็นด้วยกับฉายาที่ผู้สื่อข่าวกีฬาไทยจากทุกสำนักตั้งให้แก่ทีม “เลสเตอร์ ซิตี้” ซึ่งมีตราสัญลักษณ์เป็นสุนัขจิ้งจอกว่า “จิ้งจอกสยาม” โดยผมก็เรียกตามในการเขียนหนังสือพิมพ์ หรือพูดวิทยุทุกๆ ครั้งเกี่ยวกับทีมนี้

แน่นอนที่สุดเหตุผลหลักย่อมมาจากการที่เจ้าของทีมนี้เป็นคนไทย และท่านก็ประกาศตัวตนอยู่เสมอว่า ท่านเป็นคนไทย พร้อมกับใช้วิธีบริหารแบบไทยๆ ผสมผสานเข้าไปด้วย จนเป็นที่ยอมรับของแฟนบอลทั่วอังกฤษหรืออาจทั่วโลกก็ได้ที่รับรู้ว่า ทีมนี้คือทีมของคนไทย

นับตั้งแต่การนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ไปประพรมน้ำมนต์ให้กำลังใจแก่ทีมทั้งทีม ซึ่งอาจจะไม่มีผู้เล่นคนใดนับถือพุทธศาสนาเลยก็ได้

แข่งจบฤดูกาล ไม่ว่าแพ้หรือชนะ ขึ้นชั้นหรือตกชั้น ท่านก็จะให้ทีมนี้บินมาเมืองไทย มากราบพระ มาเข้าวัดที่ท่านเคารพนับถือ พร้อมๆกับมาเที่ยวมาพักผ่อนในเมืองไทยระยะหนึ่งเสมือนหนึ่งคนไทยอื่นๆที่ไปทำงาน ณ ประเทศอื่นๆแล้วกลับมาพักผ่อนในบ้านเรา

อ้อ! ยังมีการปฏิบัติแบบไทยๆอีกอย่างหนึ่ง ที่ผมได้ยินบ่อยๆคือ การ “เลี้ยงเบียร์” หรือเลี้ยงเครื่องดื่มกองเชียร์ทั้งสนามในโอกาสสำคัญๆ ที่ทีมเลสเตอร์ ซิตี้ ลงแข่ง เพราะคนใจใหญ่หรือใจนักเลงแบบเลี้ยงคนทั้งบางทั้งตำบล หรือทั้งสนามฟุตบอลแบบนี้ ที่อื่นไม่มีหรอกครับ นอกจากประเทศไทยและคนไทย

ผู้บริหารทีมเลสเตอร์ ซิตี้ ได้ปฏิบัติเช่นว่านี้อย่างสม่ำเสมอ นับแต่ยุคคุณ วิชัย ศรีวัฒนประภา ผู้ให้กำเนิด และประธานกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ มาจนถึงยุคลูกชาย คุณ อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา

ดังนั้น ผมจึงยอมรับโดยสนิทใจมาตลอดว่า ทีมนี้เป็นทีมของคนไทย สมฉายาจิ้งจอกสยาม...ทำให้ผมติดตามเชียร์ได้โดยไม่ขัดเขิน

ผมเคยดีใจสุดๆ เมื่อตอนที่จิ้งจอกสยามขึ้นชั้นจากแชมเปียนชิปลีกไปสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จในครั้งแรก และต่อมาก็ดีใจเพิ่มไปอีกหลายๆเท่า เมื่อเลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้สำเร็จ

...

จากนั้นผมก็เสียใจ และใจหายเป็นที่สุดเช่นกัน เมื่อจิ้งจอกสยามค่อยๆ รูดลงมา และล่วงจากพรีเมียร์ลีกกลับสู่แชมเปียนชิปลีกอีกครั้งเมื่อปีกลาย

เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นหลังจากที่คิง เพาเวอร์ สูญเสียคุณวิชัยไปด้วยอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกและ “คุณต๊อบ” อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ได้ก้าวขึ้นบริหารอาณาจักรคิง เพาเวอร์ แทนคุณพ่อ

โชคร้ายเวลามามักไม่มาอย่างเดียว แต่มะรุมมะตุ้มมาเป็นชุดๆ โดยเฉพาะการระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างขนานหนัก และบริษัทหนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักมากก็คือ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ นั่นเอง

แต่ก็อย่างเหลือเชื่อ เด็กหนุ่มที่ชื่ออัยยวัฒน์ ซึ่งดูเหมือนจะมีวัยเพียง 33 ปีเท่านั้น ในช่วงที่เขาเข้าบริหารกิจการแทนคุณพ่อ ในยุคพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกสามารถสู้ศึกครั้งยิ่งใหญ่ได้อย่างสุขุม และมีสติ

ประคองคิง เพาเวอร์ ให้ยืนหยัดอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้

ในฐานะกองเชียร์ทีมฟุตบอลจิ้งจอกสยาม ผมดีใจมากที่จิ้งจอกสยามได้แชมป์อย่างแน่นอนตั้งแต่การแข่งยังไม่จบด้วยซ้ำ และจะคืนสู่พรีเมียร์ลีก อันยิ่งใหญ่ในฤดูกาลถัดไป

ขณะเดียวกันในฐานะกองเชียร์ประเทศไทย และนักเรียนเศรษฐศาสตร์ที่เชื่อว่า ไม่มีวันที่จะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจได้ในระบอบเศรษฐกิจเสรี ด้วยสารพัดเหตุผลที่ผมเคยเขียนไว้แล้วหลายสิบครั้ง

ทางเดียวที่จะช่วยลดปัญหาความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นจากความเหลื่อมล้ำได้คือ คนรวยจะต้องลงมาช่วยคนจนอีกแรงหนึ่ง อย่าปล่อยให้เป็นหน้าที่รัฐบาลอย่างเดียว

ผมจึงได้เขียนขอร้องเศรษฐีไทยที่ติดท็อปเทนท็อปทเวนตี้ของนิตยสาร ฟอร์บส์ มาตลอดว่า ท่านต้องช่วยประเทศไทยด้วย ท่านต้องลงมาดูแลคนจนด้วย โดยใช้คำสั่งสอนที่ว่า “เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก” รวยแล้วต้องแบ่งปันแห่งพุทธศาสนาเป็นหลักปฏิบัตินั่นเอง

คิง เพาเวอร์ ยุคคุณวิชัย มีโครงการช่วยคนจนมากพอสมควร โดยเฉพาะโครงการส่งเสริมทักษะด้านกีฬาฟุตบอลในชนบททั่วไทย การให้ทุนการศึกษา การนำผลิตภัณฑ์จากชาวบ้านมาเติม “มูลค่าเพิ่ม” แล้วช่วยขายให้ตามร้านค้าต่างๆของคิง เพาเวอร์ ฯลฯ

การที่คุณต๊อบสามารถนำจิ้งจอกสยามกลับคืนพรีเมียร์ลีกได้ในปีเดียว นอกจากจะทำให้ผมดีใจในฐานะที่ผมเป็นแฟนกีฬาและนักข่าวกีฬาดังที่กล่าวไว้แล้ว ยังทำให้ผมมีความหวังว่าคุณต๊อบจะสามารถฟื้นฟูธุรกิจหลักของตระกูลให้กลับมารุ่งเรืองเหมือนเดิมอีกครั้ง

ฝากไว้อย่างเดียว รวยแล้วขอให้แบ่งปันเพื่อคนไทยและประเทศ ไทยของเราต่อไปและตลอดไป--เท่านั้นล่ะครับ.


"ซูม"

คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม