ยิ่งโลกก้าวไปข้างหน้า หนึ่งในเรื่องราวที่ถูกให้ความสำคัญมากขึ้นทุกขณะก็คือการให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพ เนื่องจากปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมล้วนเป็นตัวเร่งให้ผู้คนต่างปรับรูปแบบการใช้ชีวิตและมองหาทางเลือกที่จะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น โดยเฉพาะ “อาหารการกิน” ที่ต้องได้รับการใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะอาหารมีบทบาทสำคัญต่อทั้งร่างกายและจิตใจ ทว่า ด้วยข้อจำกัดในการดำเนินชีวิตอันหลากหลาย ในหลายๆ ครั้งก็เป็นเรื่องยากที่ผู้คนจะเข้าถึงอาหารที่ดีและมีคุณค่าทางโภชนาการได้อย่างสม่ำเสมอ ทำให้การสร้างสมดุลอาหารการกินเป็นสิ่งที่ยากจะสำเร็จ โดยมีผลสำรวจระบุว่า 91% ของผู้บริโภคในไทยมีความต้องการอาหารที่ดีและมีการกินอยู่อย่างสมดุลให้แก่ตนเองและครอบครัว อย่างไรก็ตามมีเพียง 42% เท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ ขณะที่ผู้คนมากกว่าครึ่งไม่สามารถทำได้ ด้วยอุปสรรคด้านราคา ปัญหาด้านเวลา รวมไปถึงการเลือกจะให้รางวัลตัวเองด้วยของหวานเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างวัน

ด้วยความเข้าใจในความต้องการของคนไทย และความมุ่งมั่นจะขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อผู้บริโภคและเพื่อโลกของเรา จึงเป็นอีกครั้ง “เนสท์เล่ ประเทศไทย” ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยการมุ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่อร่อย และมีคุณค่าโภชนาการในราคาที่เข้าถึงได้ ตอบโจทย์การกินอยู่อย่างสมดุล โดยในครั้งนี้สิ่งที่เนสท์เล่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือการตั้งใจส่งมอบแนวคิด “การกินอยู่อย่างสมดุล” และจากเป้าหมายดังกล่าวก็นำไปสู่การจัดพอร์ตผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ยิ่งขึ้นไปพร้อมกับการนำเสนอกลยุทธ์ใหม่ๆ โดยเนสท์เล่ได้มีการเผยถึงที่มาของแนวคิดและสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นตลอดปีนี้ในงานแถลงข่าวทิศทางทางการดำเนินธุรกิจ ปี 2024 เมื่อวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา โดย นายวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า

จากประสบการณ์ 130 ปี สู่การจัดพอร์ตส่งเสริมการกินอยู่อย่างสมดุล

นับตั้งแต่ยักษ์ใหญ่ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์เข้ามาทำธุรกิจในไทยเมื่อปี พ.ศ. 2436 จนถึงปัจจุบันก็นับเป็นเวลากว่า 130 ปีแล้วที่เนสท์เล่ได้เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทย ซึ่งระยะเวลาดังกล่าวตอกย้ำได้อย่างดีถึงความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในทุกด้าน บริษัทเติบโตอย่างมั่นคงด้วยความไว้วางใจจากผู้บริโภค จากสินค้าเพียงไม่กี่ประเภทในช่วงแรกสู่การเป็นผู้นำแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมลูกค้าทุกช่วงวัย และทุกไลฟ์สไตล์ โดยเนสท์เล่มีกลยุทธ์หลักที่สำคัญอยู่ 2 แกนด้วยกัน ได้แก่ การขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อผู้บริโภค (Good for You) และ ขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อโลกของเรา (Good for the Planet) ซึ่งในปี 2024 นี้ นายวิคเตอร์ เซียห์ ได้ระบุว่า “บริษัทจะยังคงเดินหน้าในแนวทาง ‘Good for You, Good for the Planet’ อย่างต่อเนื่องเพื่อต่อยอดรากฐานที่สำคัญของเรา โดยเนสท์เล่ประเทศไทยจะขับเคลื่อนการเติบโตของทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ มุ่งมั่นในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง รสชาติอร่อย มีคุณค่าทางโภชนาการ ในราคาที่เข้าถึงได้ จากการผลิตด้วยแนวทางความยั่งยืน”

เพื่อจะยกระดับการขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อผู้บริโภคได้ตอบโจทย์มากยิ่งขึ้น เนสท์เล่จึงมีการจัดพอร์ตผลิตภัณฑ์ให้ชัดเจน เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการบริโภคของชาวไทย และกลยุทธ์ใหม่ๆ ที่มุ่งเน้นการใช้ชีวิตด้วยการกินอยู่อย่างสมดุล โดยประกอบด้วย

- กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคทุกวัน (Everyday Goodness) หรือกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักของเนสท์เล่ ประเทศไทย ที่ผู้บริโภคชาวไทยจำนวนมากไว้วางใจเลือกซื้อเพื่อรับประทานในทุกๆ วัน อาทิ เนสกาแฟ ไมโล นมตราหมี เนสวีต้า น้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ น้ำแร่ธรรมชาติมิเนเร่ และแม็กกี้

- กลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านโภชนาการเฉพาะกลุ่ม (Tailored Nutrition) เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคบางกลุ่มที่มีความต้องการเฉพาะเจาะจง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสารอาหารที่จำเป็นในแต่ละช่วงวัย หรือผู้ที่ต้องการสารอาหารที่พิเศษมากยิ่งกว่า เช่น ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มธุรกิจ เนสท์เล่ เฮลท์ ไซเอนซ์ และผลิตภัณฑ์เพื่อโภชนาการเด็ก เช่น ผลิตภัณฑ์แบรนด์ เอส 26 ตราหมี คาร์เนชั่น และแนน

- กลุ่มผลิตภัณฑ์ของว่าง (Mindful Indulgence) เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่สามารถรับประทานได้อย่างพอประมาณ เพื่อสร้างความสุขทางจิตใจ อาทิ ไอศกรีมเนสท์เล่ คิทแคท เนสท์เล่ คอฟฟีเมต รวมถึงเครื่องดื่มเนสท์เล่ที่จำหน่ายในช่องทางการบริโภคนอกบ้าน เป็นต้น

ในลำดับถัดมา ผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 กลุ่ม จะได้รับการขับเคลื่อนร่วมกันผ่าน 2 กลยุทธ์หลักที่ได้รับการเปิดเผยภายในงานนี้ ประกอบด้วย

1. การขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (Grow a Healthier Portfolio) ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคทุกวัน และกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านโภชนาการเฉพาะกลุ่ม โดยเนสท์เล่ได้มีการวิจัยและพัฒนาเพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์ทุกชนิดดีต่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น อาทิ การลดน้ำตาลและโซเดียมลง การเสริมแร่ธาตุและวิตามินที่มีประโยชน์เพิ่มมากขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งความอร่อย และราคาที่เข้าถึงได้เช่นเดิม โดยหนึ่งในเครื่องยืนยันความตั้งใจครั้งนี้ได้อย่างดีคือการที่เนสท์เล่มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 100 รายการที่ได้รับการรับรองสัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพ (Healthier Choice Logo) ซึ่งเป็นจํานวนผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรองสูงสุดในบรรดาบริษัทอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมดในไทย และนับต่อจากนี้จะยิ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ ปี

2. ส่งเสริมการรับประทานอย่างสมดุล (Guide with Balanced Choice) โดยกลยุทธ์นี้จะเน้นที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ของว่างเป็นหลัก โดยบริษัทจะปรับปรุงสูตรให้ไอศกรีมสำหรับเด็กทุกชนิดให้พลังงานเพียง 110 กิโลแคลอรีหรือน้อยกว่า หรือในกรณีของขนมที่ทานได้หลายคน จะมีการระบุบนบรรจุภัณฑ์อย่างชัดเจนถึงปริมาณที่เหมาะสมในการรับประทาน

ทั้งนี้ นอกเหนือจากกลยุทธ์หลักดังกล่าว บริษัทยังได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อจะทำให้แผนงานต่างๆ เดินหน้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ด้วยการทุ่มงบการลงทุนถึง 8,000 ล้านบาท ครอบคลุมระยะการดำเนินงานตั้งแต่ปี 2021 ไปจนถึงปี 2026 เพื่อขยายสายการผลิตโรงงานยูเอชที เพื่อหนุนการเติบโตของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ อาทิ ไมโล ตราหมี S-26 และคาร์เนชั่น ขณะเดียวกันงบอีกส่วนได้นำไปลงทุนขยายสายการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารแมวเกรดซุปเปอร์พรีเมียมชนิดเปียกและชนิดแห้งที่โรงงานเนสท์เล่ เพียวริน่า เพ็ทแคร์ ทั้งสองแห่ง ประกอบด้วยการลงทุนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี มุ่งตอบรับการเติบโตของเทรนด์เลี้ยงสัตว์เป็นสมาชิกคนสำคัญของครอบครัวที่กำลังเพิ่มขึ้นทั้งในไทยและต่างประเทศ

โดยนายวิคเตอร์ เซียห์ ยังได้มอบความมั่นใจให้ผู้บริโภคอีกด้วยว่า แม้สภาพเศรษฐกิจปัจจุบันจะทำให้มีความท้าทายอย่างมาก แต่เนสท์เล่เชื่อมั่นว่าจะสามารถตรึงราคาสินค้าเอาไว้ได้ ด้วยการปรับกระบวนการผลิตให้ทันสมัยเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายลง เพื่อให้สอดคล้องกับความตั้งใจของบริษัทที่หวังจะส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่อร่อย มีคุณค่า และทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม

“Every Little Bite Matters” คำเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่

ไม่เพียงเท่านั้น เพื่อจะสื่อสารถึงความตั้งใจส่งเสริมการบริโภคอย่างสมดุล ในปีนี้เนสท์เล่ยังได้เปิดตัวแคมเปญที่น่าสนใจอย่างยิ่ง นั่นคือ “คำเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ - Every Little Bite Matters” ที่เกิดจากการเข้าใจว่าประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งอาหารอร่อย จึงเป็นความท้าทายไม่น้อยในการเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อกายและดีต่อใจไปพร้อมกัน

แคมเปญนี้จึงมุ่งนำเสนอถึงความสำคัญของทุกๆ คำที่คุณเลือกทาน หวังจุดประกายแรงบันดาลใจให้ผู้บริโภคลองปรับเปลี่ยนวิถีการกินสู่ความสมดุล โดยเริ่มต้นจากคำเล็กๆ ในแต่ละวัน นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่จะสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต โดยแคมเปญ “คำเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ - Every Little Bite Matters” จะประกอบไปด้วยการสื่อสารผ่านกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ ทั้งการถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจ การส่งต่อแนวคิดดีๆ เรื่องการรับประทานอาหาร อาทิ การเลือกอาหารทานคู่กันเพื่อเสริมให้มีประโยชน์ยิ่งขึ้น ไปจนถึงการจัดคาราวานครอบครัวแข็งแรงและการเดินสายโครงการภารกิจพิชิตสุขภาพดี ตั้งเป้าเข้าถึงผู้บริโภคกว่า 120,000 คนใน 200 ชุมชนทั่วประเทศตลอดปี 2024

การขับเคลื่อนกลยุทธ์ในปี 2024 ของเนสท์เล่ กล่าวได้ว่า เกิดจากความรู้ความเข้าใจในวิถีชีวิตและบริบทสังคมของประเทศไทยอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันยังสอดคล้องไปกับแนวคิด ‘Good for You, Good for the Planet’ ที่บริษัทยึดมั่นอย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยเหตุนี้สิ่งดีๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นตลอดทั้งปีโดยเนสท์เล่จึงเป็นอะไรที่น่าจับตาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับเรื่องราวของการส่งเสริมการกินอยู่อย่างสมดุลในฉบับเนสท์เล่ ที่ยังคงยืนยันในคำมั่นที่จะจัดเต็มในเรื่องความอร่อย และยังคงมาพร้อมคุณค่าทางโภชนาการ ผ่านการผลิตที่ยั่งยืนตลอดกระบวนการ ในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ เพื่อสุขภาพที่ดีของผู้คนทั้งในวันนี้และอนาคต

ติดตามเรื่องราวดีๆ จากเนสท์เล่เพิ่มเติมได้ที่ https://www.nestle.co.th/th 

#NestleThailand #goodfoodgoodlife #EveryLittleBiteMatters
#คำเล็กๆที่ยิ่งใหญ่ #เลือกสิ่งดีๆเลือกเนสท์เล่ #ThairathOnlinexNestle