ในช่วงหลังๆนี้ ประมาณสัก 9 ปี 10 ปีมาแล้วเห็นจะได้...ผมจะต้องหยิบยกข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งมาเขียนถึงเสมอนั่นก็คือ ข่าวการประกาศอันดับ “อภิมหาเศรษฐีไทย” ของนิตยสาร “ฟอร์บส์” ที่มีชื่อเสียงในการจัดอันดับเศรษฐีโลกเป็นที่ยอมรับทั่วโลกนับตั้งแต่ปี ค.ศ.1987 หรือ พ.ศ.2530 เป็นต้นมา

สำหรับการจัดอันดับ “อภิมหาเศรษฐี” ของประเทศไทยโดยตรงนั้น ผมจำไม่ได้ว่า เริ่มขึ้นเมื่อไร...เท่าที่พอนึกออกก็น่าจะเกือบ 20 ปีแล้วกระมัง...แต่ที่ผมเริ่มหยิบมาเขียนถึง ทั้งเพื่อแสดงความยินดี และเพื่อฝากคำ “ขอร้อง” บางประการ ไปยังท่าน “อภิ” ทั้งหลายน่าจะราวๆ 9 ปี 10 ปีที่ผ่านมา ดังที่เกริ่นไว้ในตอนต้น

ดังนั้น เมื่อมีการประกาศอันดับประจำปีนี้ (2024 หรือ 2567) ออกมาเรียบร้อย และเป็นข่าวในสื่อมวลชนต่างๆเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน...ผมก็ขอทำหน้าที่ทั้ง 2 ประการอีกเช่นเคย...คือทั้ง แสดงความยินดี และการฝากคำขอร้องบางประการให้ท่านรับไปช่วยเหลือและดูแล

เริ่มที่ความยินดีก่อน...ซึ่งผมก็ขอเรียนอีกครั้งว่า เป็นความยินดีอย่างจริงใจ ในฐานะนักเรียนเศรษฐศาสตร์ที่เชื่อมั่นว่า ความสามารถของมนุษย์ในโลกนี้ไม่มีวันเท่ากัน ดังนั้นในระบบการแข่งขันเสรีอันเป็นระบบที่ทุกชาติปรารถนานั้น มนุษย์ที่มีความสามารถมากกว่าจะเป็นฝ่ายชนะเสมอ

เมื่อมนุษย์ที่มีความสามารถมากกว่าคนอื่นเหล่านั้นได้ชัยชนะในยกแรกๆก็จะทำให้เขามีอาวุธ หรือมีคู่มือในการที่จะเอาชนะในยกต่อๆไปที่มีอานุภาพอย่างยิ่งมากขึ้นไปอีก

อาวุธที่ว่านี้คือ “เงิน” หรือ “ทุน” ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าอาวุธอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ดินหรือแรงงานหรือ ฯลฯ

ท่านอภิมหาเศรษฐีทั้งหลาย ซึ่งมีเงินทุนมากกว่าใครอื่น จึงรวยเอาๆและรวยขึ้นเรื่อยๆทุกปี และทำให้ช่องว่างของสังคมถ่างขึ้นทุกๆสังคม แม้แต่สังคมอย่างสหรัฐอเมริกาก็หนีไม่พ้น

...

ใครที่เคยอ่านหนังสือ “CAPITAL in the Twenty-First Century” ของ THOMAS PIKETTY มาแล้ว คงจะเห็นด้วยกับผม

ดังนั้น หาก “อภิมหาเศรษฐี” ไทยแลนด์ของเราจะรวยขึ้นเรื่อยๆ อันเป็นผลให้ “ช่องว่าง” ของบ้านเราถ่างขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาของระบบเศรษฐกิจแบบ “ทุนนิยม”

ผมเองซึ่งพิเคราะห์แล้วว่า แม้ระบบนี้จะมีจุดอ่อนอยู่เยอะทำให้ช่องว่างของสังคมถ่างขึ้นเยอะ...แต่มันก็เป็นระบบที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษยชาติค้นพบ

อย่าลืมว่า มนุษย์บางประเทศเคยหนีไปใช้ระบบอื่นๆกันมาแล้ว โดยเฉพาะระบบสังคมนิยมที่นึกว่าจะแก้ความเหลื่อมล้ำได้...ซึ่งในที่สุดก็พบว่า ลดความเหลื่อมล้ำได้จริงๆ แต่กลายเป็นว่า “จนเท่ากัน” ทั้งประเทศลำบากยากแค้นทั่วประเทศ จนต้องหันกลับมาระบบ “ทุนนิยม” อีกหน

ฉะนั้น เมื่อของเราใช้ระบบ “ทุนนิยม” อยู่แล้ว ก็อย่าไปใช้ระบบอื่นใดเลย ใช้มันระบบนี้แหละ ใครจะรวยก็ต้องยอมให้รวย

แต่สิ่งที่สังคมจะต้องช่วยกันทำก็คือ ต้องตะโกนบอก “อภิมหาเศรษฐี” เหล่านั้นว่า เมื่อรวยแล้วก็อย่าลืมคนจน...อย่าลืมผู้คนที่อยู่รอบข้างพวกคุณและเก่งสู้พวกคุณไม่ได้

ที่สำคัญอย่าลืมประเทศที่คุณเกิดที่คุณเติบโต และทำให้คุณร่ำรวย...ซึ่งก็คือ ประเทศไทย หรือ ไทยแลนด์ ของเรานี่เอง

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับวันเสาร์ที่ 6 เมษายน (กรอบแรก) พาดหัวรายชื่อเศรษฐี 1-10 ของประเทศไทย พร้อมรายละเอียดว่าใครรวยเท่าไร จากการประกาศของนิตยสารฟอร์บส์ปีนี้ ซึ่งผมขอไม่ลงรายละเอียดแต่ขอบันทึกชื่อไว้เป็นเกียรติ ตั้งแต่ 1 ไปถึง 10 ดังนี้

1.นายธนินท์ เจียรวนนท์, 2.นายเจริญ สิริวัฒนภักดี, 3.นายสารัชถ์ รัตนาวะดี, 4.นายสุเมธ เจียรวนนท์, 5.นายจรัญ เจียรวนนท์, 6.นายวานิช ไชยวรรณ, 7.นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ, 8.นางสมอุไร จารุพนิช, 9.นายประยุทธ มหากิจศิริ, 10. (ร่วม) นายฮาราลด์ ลิงค์ และนายทักษิณ ชินวัตร

ขอแสดงความยินดีกับทั้ง 10 อันดับ 11 ท่าน ไว้ ณ ที่นี้อีกครั้ง...

ยินดีแล้วก็ฝากคำขอร้องตบท้ายสั้นๆไว้เช่นเคย...รวยแล้วอย่าลืมช่วยคนจน (อย่างถูกวิธี) ที่ยังมีอยู่มาก...รวยแล้วอย่าลืมบุญคุณประเทศชาติ เพราะถ้าคุณไม่ได้เกิดในแผ่นดินนี้คุณอาจไม่รวยเท่านี้

สามารถช่วยเหลือประเทศชาติได้ด้วยวิธีใดๆก็ขอให้ลงมือช่วยด้วยความขมีขมันนะครับ...ขอขอบคุณทุกๆท่านแทนประเทศไทยครับ.

“ซูม”

คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม