นับเป็นเรื่องร้อนสำหรับ “ประเทศไทย” เมื่อประชากรวัยแรงงานมีทักษะทุนชีวิตต่ำกว่าเกณฑ์โดยเฉพาะด้านการรู้หนังสือ ดิจิทัล อารมณ์และสังคม เป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจกว่า 3.3 ล้านล้านบาท
ข้อมูลนี้ถูกค้นพบจาก “กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ธนาคารโลก ม.ธรรมศาสตร์และ สนง.สถิติแห่งชาติ” ที่เป็นเสมือนสัญญาณสะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้มีโอกาสและผู้ด้อยโอกาส
เริ่มปรากฏช่วงห่างกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นความท้าทายที่ก้าวข้ามไปสู่การเป็นประเทศมีรายได้สูง
ทำให้ต้องทบทวน “ภาคนโยบาย การศึกษาและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง” ผ่านกิจกรรมงานครบรอบ 69 ปี “สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย” ที่จัดปาฐกถาพิเศษหัวข้อทุนมนุษย์ยุค 5.0 สร้างไทยยั่งยืนขจัดความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำโดย ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการบริหาร กสศ.บอกว่า
ทุนมนุษย์ (human capital) เป็นปัจจัยสำคัญต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านปฏิสัมพันธ์ระหว่างแรงงานทักษะสูงสู่นวัตกรรมที่เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยบทบาททุนมนุษย์สามารถเติบโตได้ไม่มีที่สิ้นสุด เหตุนี้การลงทุน “เพื่อพัฒนาทุนมนุษย์” เป็นเรื่องสำคัญจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ สามารถแบ่งเป็น 3 ประเด็น คือ
ประเด็นแรก...“ความท้าทายการลงทุนพัฒนาทุนมนุษย์ศตวรรษที่ 21” ที่ต้องคำนึงถึง 6 ด้าน จะส่งผลการเตรียมพร้อมด้านทุนมนุษย์นี้ คือ ความท้าทายแรก...“โควิด-19” ได้สร้างแนวโน้มไม่แน่นอนให้ตลาดแรงงาน และเร่งให้ลักษณะงานเปลี่ยนแปลงไป บริษัทจำนวนมากลงทุนในเทคโนโลยี เพื่อเตรียมพร้อมสําหรับวิกฤติในอนาคต
ความท้าทายที่สอง...“ประชากรสูงอายุ” ในปี 2564 ประเทศไทยถูกจัดให้มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นอันดับ 3 ของโลก “จำเป็นต้องเพิ่มผลิตภาพแรงงาน” เพราะปี 2563 คนทำงานจากร้อยละ 71 หรือคนทำงาน 2 คนรองรับผู้ไม่ทำงาน 1 คน จะลดลงในปี 2603 เหลือคนทำงาน 1 ต่อ 1 ส่งผลเชิงลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจแน่นอน
...
ดังนั้น เมื่อแรงงานมีทักษะต่ำก็ต้องฝึกอบรมให้ “วัยหนุ่มสาว หรือผู้ใหญ่” ที่มิได้อยู่ในตลาดแรงงานให้เพิ่มมากขึ้น ความท้าทายที่สาม...“ความยากจนในชนบท” ตั้งแต่ปี 2558 คนจนเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่กระจุกตัวใน
ชนบทแล้ว 79% อยู่ในครัวเรือนเกษตรกรรม และในปี 2563 คนจนในชนบทสูงกว่าคนจนในเมืองเกือบ 2.3 ล้านคน
ความท้าทายที่สี่...“ความไม่เท่าเทียมรายได้” ประเทศไทยพยายามลดความจนมาตลอดโดยเฉพาะครัวเรือนชนบทมีสูงกว่าร้อยละ 68 ของคนเมือง จนเกิดความไม่เท่าเทียมทางรายได้สูงสุดเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก
ความท้าทายที่ห้า...“การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม” เป็นปรากฏการณ์ระดับโลกจะกระทบการจ้างงาน การเติบโต และการกระจายรายได้ “ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย” คาดว่าปี 2643 ต้นทุนการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย เวียดนาม อาจสูญเสียร้อยละ 6.7 ของ GDP รวมกันในแต่ละปี
ความท้าทายที่หก...“ภัยทางธรรมชาติ” ประเทศไทยมีความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติหลายประการ ส่งผลร้ายแรงกระทบอย่างลึกซึ้ง และหลากหลายต่อตลาดแรงงาน เศรษฐกิจ และสังคมที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตนั้น
สิ่งเหล่านี้ “กำลังเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานไทยอย่างมีนัยสำคัญ” ทำให้ทิศทางการพัฒนาทุนมนุษย์ต้องปรับตัวให้ทันบริบท และเงื่อนไขใหม่ “ไม่ปล่อยให้เกิดการสูญเสีย” ทั้งเด็กหลุดออกระบบการศึกษา หรือไม่ได้รับการพัฒนาเต็มศักยภาพแม้แต่คนเดียว เพราะเด็กทุกคนเป็นมนุษย์ทองคำและเป็นทรัพยากรมีคุณค่า
ดังนั้น ทุนมนุษย์มีคุณภาพเท่านั้นจะช่วยให้ผู้คนก้าวผ่านความท้าทายทางสังคม และเศรษฐกิจต่างๆ ทำให้คนไทยมีโอกาสหลุดพ้นความจนข้ามรุ่น หลุดออกจากกับดักรายได้ปานกลางที่ไม่เป็นแค่ความฝัน เช่นเดียวกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 ที่ทยอยครบกำหนดในไม่กี่ปีนี้
ถ้าไม่เร่งลงทุนลดความเหลื่อมล้ำการศึกษาและการพัฒนาทุนมนุษย์ก็เสี่ยงจะไม่บรรลุเป้าหมายนั้น
ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้อยากชวนมาดูประเด็นที่สอง...“สถานการณ์ทุนมนุษย์ของประเทศไทยในมิติความเหลื่อมล้ำด้านโอกาส” จากข้อมูลสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาปี 2566 กสศ.พบว่ามีนักเรียนยากจน และยากจนพิเศษอยู่ประมาณ 1.8 ล้านคน และเราได้ทำการสนับสนุนทุนให้ 1.2 ล้านคน
...
ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2563 “สนับสนุนทุน 9.9 แสนคน” ส่วนใหญ่มีความยากจนระดับรุนแรง กลายเป็นอุปสรรคให้ “เด็กไม่อาจแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา” ต้องออกจากระบบไปในที่สุด
เท่าที่ติดตามเส้นทางการศึกษา “เด็กในครัวเรือนยากจน” ตั้งแต่ปี 2562-2566 พบว่า “ยิ่งการศึกษาระดับสูง” โอกาสเด็กได้เรียนต่อยิ่งลดลง ในปี 2566 มีนักเรียนยากจน 1 ใน 10 ที่ศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาได้
ต่อมาคือ “ช่วงชั้นรอยต่อทางการศึกษา” เป็นช่วงวิกฤติเด็ก และเยาวชนมักหลุดออกจากระบบมากที่สุด เพราะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายแรกเข้าอุดมศึกษา 13,200-29,000 บาท คิดเป็นรายได้เฉลี่ยทั้งปีของสมาชิกครัวเรือนเด็กยากจนพิเศษ ทำให้เจออุปสรรคแล้วในที่สุดก็ตัดสินใจไม่ไปต่อแม้จะต้องการเรียนแค่ไหนก็ตาม
ถัดมา “มิติความเหลื่อมล้ำด้านคุณภาพ” ไม่นานนี้มีการสำรวจทักษะความพร้อมของประชากรวัยแรงงานของไทย พบว่าวัยแรงงาน 15-64 ปี ขาดแคลนทักษะทุนชีวิตรุนแรง 2 ใน 3 ของวัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ไม่สามารถอ่านเข้าใจข้อความสั้นๆเพื่อแก้ปัญหาอย่างง่าย 3 ใน 4 และวัยแรงงานใช้เว็บไซต์ลำบากเพื่อทำงานง่ายๆร้อยละ 30
ทั้งยังขาดทักษะการคิดริเริ่ม “เพื่อสังคม และความกระตือรือร้น” สิ่งนี้กำลังก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจกว่า 3.3 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 20 ของ GDP ประเทศไทยในปี 2565
ปัญหานี้ “ไม่ได้มีแต่เฉพาะในกลุ่มเยาวชนและแรงงาน” แต่วิกฤติทักษะทุนชีวิตได้เริ่มก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่ช่วงวัยที่เป็นเด็กเล็ก และทยอยสะสมความขาดทุนในทุนชีวิตมาต่อเนื่องเข้าสู่ระบบการศึกษาจนก้าวออกสู่ตลาดแรงงาน ทำให้อยากชวนมาทำความเข้าใจวิกฤติทักษะทุนชีวิตให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลชุดต่างๆ
...
“การแก้ต้นตอปัญหาวิกฤติขาดทุนมนุษย์ต้องป้องกันความล้มละลายในชีวิตทำงาน ด้วยการอาศัยทุกภาคส่วน และเร่งพัฒนาสร้างทักษะขาดหายไม่ให้สะสมขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะจะเป็นภาวะล้มละลายทางทุนชีวิตในวัยผู้ใหญ่ ด้วยสนับสนุนให้ครัวเรือนยากจนสามารถเข้าถึงโอกาสในการพัฒนาทักษะอย่างเต็มที่” ดร.ประสารว่า
ประเด็นที่สาม...“ข้อเสนอการลงทุนในทุนมนุษย์ตอบโจทย์ทุกชีวิตอย่างเสมอภาค” มีข้อเสนอเชิงนโยบายเป็นแนวทางการลงทุนในทุนมนุษย์ 4 ประการ คือ
ประการแรก...“ลงทุนในเด็กและเยาวชน” ตั้งแต่ระดับปฐมวัย โดยเฉพาะเด็กจากครัวเรือนใต้เส้นความยากจนมีเหลืออยู่ประมาณปีละ 100,000 คนเท่านั้นในปัจจุบัน
เพราะการพัฒนาแต่ช่วงเริ่มต้นมีโอกาสช่วยลดช่องว่างทุนมนุษย์ระหว่างเด็กด้อยโอกาส และเด็กกลุ่มอื่นได้มากกว่าการลงทุนช่วงหลัง “มุ่งเน้นการลงทุนตัวเด็กและครัวเรือน” ในการเพิ่มคุณภาพการอบรมเลี้ยงดู
ประการที่สอง “ลงทุนให้ถูกเป้าหมาย” ด้วยการสร้างสังคมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และระบบการศึกษาทางเลือกที่ยืดหยุ่น “ตอบโจทย์ชีวิต” ทั้งสนับสนุนทุกกลุ่มมีโอกาสเข้าอบรมยกระดับพัฒนาทักษะใหม่ๆ
...
ประการที่สาม... “ลงทุนอย่างเสมอภาค” ด้วยการให้ความสำคัญต่อสิทธิทางการศึกษาทั้งในและนอกระบบการศึกษา โดยสูตรจัดสรรงบประมาณให้แก่เด็ก เยาวชนในสังกัดต่างๆที่ควรใช้หลักเสมอภาคชดเชยปัจจัยที่เป็นต้นเหตุแห่งความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้ผู้เรียนและสถานศึกษาอย่างเป็นธรรม
ประการที่สี่ ...“ลงทุนนวัตกรรมทางการเงินการคลังเพื่อการพัฒนาทุนมนุษย์” โดยแรงจูงใจในการลดหย่อนภาษี 2 เท่า เพื่อพัฒนานวัตกรรมความร่วมมือ และนวัตกรรมทางสังคม หรือการใช้มาตรการกึ่งการคลัง (Quasi-fiscal Policy) มาสนับสนุนงบประมาณการลงทุนในทุนมนุษย์อย่างเสมอภาค และยั่งยืนต่อไป
ย้ำว่าการลงทุนในทุนมนุษย์เป็นกุญแจก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง “ทุกคน” ต้องร่วมกันสร้างสังคมการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้ “เด็กและเยาวชน” มีโอกาสพัฒนาความสามารถสร้างทักษะใหม่ๆ เป็นหลักประกันการเข้าถึงการเรียนรู้เต็มศักยภาพ เพื่อให้พร้อมขับเคลื่อนพัฒนาประเทศ.
คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม