ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-ศรีลังกา นับเป็นเอฟทีเอฉบับที่ 15 ของไทย และถือเป็นฉบับล่าสุดที่ไทยลงนามร่วมกับต่างประเทศเมื่อต้นเดือนแห่งความรักที่ผ่านมา จะมีผลบังคับใช้ก่อนปลายปี 2567 แล้วจะมีประโยชน์ต่อบ้านเราอย่างไร?

นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ให้ข้อมูลการเจรจา FTA ฉบับนี้ เริ่มขึ้นเมื่อปี 2561 ก่อนจะหยุดชะงักไปเนื่องจากเกิดปัญหาภายในประเทศของศรีลังกา และโควิด-19

ต้นปีที่แล้วเริ่มกลับมารื้อฟื้นการเจรจาอีกครั้ง และสรุปผลการเจรจาได้เมื่อเดือนธันวาคม 2566 โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะเปิดตลาดสินค้า (ยกเลิก/ลดภาษี) ในระดับร้อยละ 85 ของจำนวนรายการสินค้าทั้งหมด

ปัจจุบันไทยกับศรีลังกามีมูลค่าการค้าสินค้าเกษตรระหว่างในปี 2564-2566 เฉลี่ยปีละ 3,248 ล้านบาท โดยไทยมีมูลค่าส่งออกไปศรีลังกา เฉลี่ยปีละ 2,975 ล้านบาท มีมูลค่านำเข้าเฉลี่ยปีละ 273 ล้านบาท

เอฟทีเอฉบับนี้ศรีลังกาได้ลด/ยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรสำคัญให้ไทย เช่น ปลามีชีวิต ปลาทะเลแห้ง เครื่องปรุง กุ้งมีชีวิต สด/ แช่เย็น เมล็ดพืชผักสำหรับเพาะปลูก อาหารสัตว์ และของปรุงแต่งที่ใช้ในการเลี้ยงสัตว์ และอาหารปรุงแต่งที่ทำจากธัญพืช ที่เป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการส่งออกไปตลาดโลกสูง ขณะที่ศรีลังกามีความต้องการนำเข้าจากตลาดโลก ดังนั้นจึงเป็นโอกาสให้สินค้าเกษตรไทยได้แต้มต่อทางภาษีในการเข้าสู่ตลาดศรีลังกาเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง

สำหรับสินค้าเกษตรที่ไทยเปิดตลาดให้ศรีลังกา ส่วนใหญ่เป็นสินค้าวัตถุดิบที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น แป้งข้าวสาลี ชา มะพร้าวฝอย ปลาทูน่าแช่แข็ง อบเชย กุ้ง หมึกแช่แข็ง และกุ้งมีชีวิต/สด/แช่เย็น ซึ่งจะเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยมีทางเลือกเพิ่มมากขึ้นและจะช่วยลดต้นทุนการผลิตในอนาคตอีกด้วย

...

ทั้งนี้ ความตกลงเขตการค้าเสรีฉบับนี้ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับศรีลังกาเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองประเทศที่จะยกระดับการค้า การลงทุน การอำนวยความสะดวกในทางการค้าให้มากยิ่งขึ้น รวมถึงเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภาคส่วนต่างๆ

อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการขยายการค้าและการลงทุนของไทยไปยังตลาดใหม่ในภูมิภาคเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เนื่องจากศรีลังกาตั้งอยู่กลางมหาสมุทรอินเดีย ที่จะส่งผลให้ไทยสามารถกระจายสินค้าไปยังภูมิภาคอื่นๆของโลกได้.

สะ-เล-เต

คลิกอ่านคอลัมน์ “หน้ามองฟ้า เท้าหยั่งดิน” เพิ่มเติม