ทิศทางการค้าโลกเริ่มฟื้นตัวต่อเนื่อง “การส่งออกของไทยปี 2567” กลับมาขยายตัวด้วยเช่นกัน อันเกิดจากอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ ทำให้การค้าระหว่างประเทศมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น
สำหรับสินค้าการส่งออกดาวเด่นปีนี้ “ม.หอการค้าไทย” วิเคราะห์ไว้ อย่างเช่น น้ำมันสำเร็จรูป โทรศัพท์ อุปกรณ์ส่วนประกอบ อุปกรณ์กึ่งตัวนำทรานซิสเตอร์ ผลไม้ หม้อแปลงไฟฟ้า “สินค้าส่งออกดาวรุ่ง” มีทั้งรถแทรกเตอร์ ยานยนต์พิเศษ กระเป๋าเดินทาง ไก่สดแช่แข็ง ประทีปโคมไฟ และเส้นใยประดิษฐ์
ด้วยการใช้แนวคิด BCG Matrix จัดอันดับสินค้าส่งออกมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) แบ่งกลุ่มแนวคิดเบสคำนวณคะแนนในข้อมูลขยายตัวการส่งออกปี 2564-2567 สะท้อนผ่าน พูนทวี ชัยวิจิตมลากูล ผช.ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้า แถลงทิศทางการส่งออกไทย ปี 2567 และ 10 สินค้าส่งออกเด่นว่า
การส่งออกของไทยปี 2567 “คาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นกว่าปี 2566 ที่เคย ติดลบ 1%” จากปัจจัยสนับสนุนหลายด้านคือ ปัจจัยแรก...“อัตราเติบโตเศรษฐกิจโลก” ด้วย IMF มีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจโลก คาดว่า GDP จะปรับเป็นบวก 0.2% เพราะการฟื้นตัวของสหรัฐฯ และประเทศพัฒนา ตลอดจน การสนับสนุนทางการคลังของจีน
...
ผลักดันให้ GDP ภาพรวมของโลกเติบโตขึ้นมา 3.1% ทำให้เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยที่มีสัดส่วนการส่งออกมากกว่า 80% มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างเช่น อาเซียนอัตราการเติบโตของ GDP 4.3% ยุโรปอัตราการเติบโต 0.9% เกาหลีใต้เติบโต 2.3% สหราชอาณาจักรเติบโต 0.6%
อย่างไรก็ตาม “บางประเทศมีการเติบโตทางเศรษฐกิจ” แต่มีแนวโน้มชะลอตัว เช่น สหรัฐฯอัตราการเติบโต GDP 2.1% สัดส่วนการส่งออก 17.1% จีนการเติบโต GDP 4.6% สัดส่วนส่งออก 12% ญี่ปุ่นเติบโต 0.9% สัดส่วนการส่งออก 8.6% ออสเตรเลียเติบโต 1.4% ส่งออก 4.3% ฮ่องกงเติบโต 2.9% ส่งออก 3.9%
ปัจจัยที่ 2...“การค้าโลกมีแนวโน้มขยายตัว 3.3%” จากอัตราเงินเฟ้อของโลก และหลายประเทศดอกเบี้ยลดลงในช่วงครึ่งหลังปีนี้ ทั้งนโยบายการคลังจีนก็เข้ามา “กระตุ้นเศรษฐกิจ” บวกกับการขยายตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรป เช่นนี้หากการค้าโลกขยาย 3.3% ก็จะทำให้การส่งออกของไทยมีแนวโน้มปรับตัวเป็นบวกเช่นกัน
ปัจจัยที่ 3...“ค่าเงินบาทครึ่งแรกปี 2567 มีแนวโน้มอ่อนค่า” ที่ส่งผลดี ต่อการแข่งขันของไทยตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.-15 ก.พ. “ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงไป 5.2%” ด้วยเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้นจากดัชนีราคาเงินเฟ้อสูงกว่าที่ตั้งเป้า และการลดดอกเบี้ยก็เลื่อนจากเดือน ม.ค. เป็นเดือน พ.ค. ส่งผลต่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้นนี้
ปัจจัยที่ 4...“เงินเฟ้อโลกลดลง” ตามข้อมูล IMF, UM, World Bank, Jp Morgan คาดการณ์ว่าในปี 2568 “เงินเฟ้อทั่วโลกจะชะลอตัว” ทำให้ ประเทศต่างๆปรับดอกเบี้ยลดลง ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเติบโตมากขึ้น
ปัจจัยที่ 5...“หลายประเทศคาดว่าจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย” ตามข้อมูลเดือน ม.ค.2566-ม.ค.2567 จะเห็นหลายประเทศมีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ยลง เช่น เวียดนามปรับลดลง 1.5% สิงคโปร์ปรับลดลง 0.2% และจีนปรับลดลง 0.3% ทั้งในช่วงกลางปี 2567 จนถึงปลายปีก็น่าจะมีอีกหลายประเทศปรับลดดอกเบี้ยลงอีก
ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเดือน พ.ค.ทั้งปี 1-1.25% ยุโรปน่าจะลดเดือน เม.ย.ทั้งปี 1.5% สหราชอาณาจักรปรับลดเดือน มิ.ย.อย่างน้อย 1% อินเดียและอาเซียนอาจปรับลดตามธนาคารกลางสหรัฐฯ
สำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงนี้ก็จะส่งผลให้ “เศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งปีหลังเติบโตมากยิ่งขึ้น” ทำให้การขยายตัวการส่งออกของประเทศไทยในครึ่งปีหลังนั้นดีขึ้นตามมาเช่นกัน
ถ้ามาดูปัจจัยเสี่ยงข้อจำกัดการส่งออกปีนี้ “การโจมตีเรือขนส่งสินค้าของฮูตีในทะเลแดง (คลองสุเอซ)” ที่ยืดเยื้อส่งผลให้ค่าระวางเรือเพิ่มขึ้น “กระทบต้นทุนการส่งออกสินค้าไทย” ด้วยเรือไม่อาจผ่านคลองสุเอซได้เหมือนเดิม เพราะเป็นเส้นทางการค้าหลักระหว่างเอเชียกับยุโรป และครอบคลุมเส้นทางการค้าทะเล 12% ของโลก
ทำให้ต้องอ้อมไปแหลมกู๊ดโฮปใช้เวลาขนส่งมากขึ้น 15 วัน ไปยุโรป 4 วัน ไปสหรัฐฯ “ตารางเดินเรือหลายเส้นทางล่าช้า” ไม่อาจวนกลับเข้ารอบเรือ ทันตามตาราง กระทบถึงรอบเรือถัดไปล่าช้า “จนตู้ขนส่งสินค้าขาดแคลนและ จองเรือยากขึ้น” ทั้งพื้นที่ขนส่งแออัดปริมาณเรือสินค้าไทยลดลงจากวันละ 100-120 ลำ เหลือราว 50 ลำ
...
ข้อจำกัดถัดมา “การฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน” ที่มีปัญหาเชิงโครงสร้างอย่าง การลงทุนอสังหาริมทรัพย์หดตัวตั้งแต่ปี 2565 และมีแนวโน้มขยายยาวมาถึงปีนี้ “ด้วยภาคอสังหาริมทรัพย์คิดเป็น 29% ของ GDP จีน” ทำให้ดัชนีความ เชื่อมั่นผู้บริโภคทรงตัวในระดับต่ำ เพราะหลายคนนำเงินลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่ดีขึ้น
กลายเป็นเงินในกระเป๋าลดลงจนขาดความเชื่อมั่นต่อการบริโภคตั้งแต่ปี 2565-2567 ทำให้อัตราเงินเฟ้อของจีนติดลบ (ภาวะเงินฝืด) มาตั้งแต่ปลายปี ที่แล้ว ส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของจีนก็ลดลง เพราะความสัมพันธ์ ระหว่างจีน และสหรัฐฯมีความขัดแย้งกัน จนทำให้นักลงทุนนำเงินออกจากจีน
ต่อมา “ค่าเงินบาทครึ่งปีหลังมีแนวโน้มแข็งค่า” คาดว่าจะแข็งค่า 34-35 บาท/ดอลลาร์ “กระทบต่อความสามารถการแข่งขันของไทย” มีปัจจัย จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และการลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง และดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลเพิ่มขึ้นจากการส่งออก และการท่องเที่ยวไทยฟื้นตัว
“นอกจากนี้ยังมีเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เข้ามาในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นจากการส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ เหตุนี้จึงคาดการณ์ว่า การส่งออก ของไทยในปี 2567 น่าจะมีแนวโน้มขยายตัวประมาณ 2.5% หรือมูลค่า 2.91 แสนล้านดอลลาร์ อยู่ในช่วง 2-3% ทำให้การส่งออกไปในประเทศคู่ค้ากลับมา ดีขึ้นทุกตลาด” พูนทวีว่า
...
ถ้าพูดถึงสินค้าดาวเด่นส่งออกสูงในปี 2567 “น้ำมันสำเร็จรูป” มีมูลค่าการส่งออก 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้มีความต้องการมากขึ้น “โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ” ปีนี้ทั่วโลก มีการใช้โทรศัพท์มือถือ 5.2 พันล้านเครื่อง และมีความต้องการเพิ่มขึ้น 4%
ทำให้ประเทศไทยมีแนวโน้มส่งออกมูลค่า 5.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ “อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด” จะมีการเติบโตส่งออกอยู่ที่ 4.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ “ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง” ในปี 2567 ทั่วโลก อาจต้องเจอสภาพภูมิอากาศผันผวนจนหลายประเทศต้องรักษาความมั่นคงทางอาหารไว้
กลายเป็นผลบวกต่อ “ประเทศไทย” ที่มีโอกาสการส่งออกผลไม้สูง 6.7 พันล้านดอลลาร์ “หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ” เพราะกระแสโซลาร์เซลล์ทำให้มีความต้องการใช้หม้อแปลงไฟสูงขึ้น มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 4 พันล้านดอลลาร์ ผลิตภัณฑ์ไม้ส่งออกที่ 3.2 พันล้านดอลลาร์ เครื่องจักรกล ส่งออก 8.7 พันล้านดอลลาร์
โดยเฉพาะ “รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ” มีแนวโน้มเติบโตจากความต้องการสหรัฐฯ ญี่ปุ่น จีน และทั่วโลกใช้รถยนต์ 2 พันกว่าล้านคัน ส่งผลให้ประเทศไทยมีโอกาสส่งออก 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเครื่องจักรอุปกรณ์ไฟฟ้ามีฟังก์ชันเฉพาะส่งออก 5.1 พันล้านดอลลาร์ แผงวงจรไฟฟ้าส่งออก 9.5 พันล้านดอลลาร์
ต่อมา “สินค้าส่งออกดาวรุ่ง” ไม่ว่าจะเป็นรถแทรกเตอร์ และยานยนต์มีวัตถุประสงค์พิเศษมูลค่าการส่งออก 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กระเป๋าเดินทาง 614 ล้านดอลลาร์ ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง 1.2 พันล้านดอลลาร์ ประทีป โคมไฟมีความต้องการหลอดสูงขึ้นด้วยการก่อสร้างทั่วโลกขยายตัว 9.6% การส่งออกจะอยู่ 253 ล้านดอลลาร์
...
เส้นใยประดิษฐ์มูลค่าส่งออก 1 พันล้านดอลลาร์ นาฬิกาส่วนประกอบส่งออก 788 ล้านดอลลาร์ อุปกรณ์ไฟฟ้าให้สัญญาณเสียงส่งออก 420 ล้านดอลลาร์ เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ส่งออก 965 ล้านดอลลาร์ ส่วนประกอบมอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าส่งออก 144 ล้านดอลลาร์ และเนื้อสัตว์ส่งออก 169 ล้านดอลลาร์
นี่คือความโดดเด่น “สินค้าเกษตรกรรม และภาคอุตสาหกรรมไทย” ที่สามารถแข่งขันขยายการส่งออกตลอดปี 2567 อันจะกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ให้เติบโตดีขึ้น.
คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม