ข่าวสะเทือนประเทศแคนาดา และนานาชาติ (1 มี.ค.67) มีการแถลงหลักฐานหลังจากที่มีการรวบรวมมานานกว่าสามปีย้อนหลังและพบว่านายกรัฐมนตรีทรูโด พยายามกลบเกลื่อนปกปิดความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับประเทศจีน?
โดยที่สถาบันหลักของประเทศ ซึ่งมี “ห้องแล็บชีวนิรภัยระดับสี่” ที่ “วินิเปค” ที่เป็นคลังข้อมูลเกี่ยวกับเชื้อโรคและไวรัสและเป็นคลังตัวอย่างของไวรัส พบมีความเชื่อมโยงติดต่อกัน โดยมีนักวิทยาศาสตร์ในสถาบันนี้เองที่เป็นแกน
และในแถลงการณ์นี้ยังสืบเนื่องเกี่ยวข้องกับ biodefense...การป้องกันทางชีวภาพ และ bioweapon...อาวุธชีวภาพ
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หรือ “หมอดื้อ” หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า รายงานก่อนหน้านี้ในสหรัฐฯตามกฎหมายความโปร่งใสของข้อมูลได้พบว่า...ก่อนหน้าการระบาดโควิด สถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่นได้รับความช่วยเหลือในการตั้งห้องปฏิบัติการชีวะนิรภัยระดับสี่ รวมทั้งความรู้และเทคโนโลยี จากสามประเทศด้วยกัน
โดยฝรั่งเศสช่วยเหลือในการสร้าง แคนาดาส่งตัวอย่างไวรัสให้และสหรัฐอเมริกาให้เงินทุน
...
โดยก่อนหน้าที่จะมีการระบาดของ “โควิด” แคนาดาได้นำหลอดบรรจุ ตัวอย่างไวรัสอีโบลาหลายสายพันธุ์และไวรัสนิปาห์ จากสถาบันวินิเปค ไปยังอู่ฮั่นเพื่อเป็นโครงในการสร้างไวรัสใหม่
สำหรับ “ประเทศไทย” เอง ต้องมีความตระหนักในเรื่องละเอียดอ่อนของการทำธุรกิจ การได้รับทุนจากสหรัฐฯ ผ่านหน่วยงานต่างๆ USAID รวมทั้ง NIH CDC มาทาง partner international EcoHealth alliance
น่าสนใจว่า...ปัจจุบันหลายหน่วยงานหลักของประเทศไทย ยังคงมีการทำงานให้อยู่
โดยมีการส่งผ่านเงินจากตัวกลางของไทยเองไปยังหน่วยงานอื่น ทำการรวบรวมไวรัสจากค้างคาว ในตระกูลโควิด อีโบลา และนิปาห์ ทำการถอดรหัสพันธุกรรม เพื่อเลือกตัวที่มีคุณสมบัติที่จะก่อโรคได้ดีที่สุด โดยดีกว่าตัวที่ระบาดไปแล้ว
และ...มีการส่งข้อมูลไปยังเครือข่ายทั้งสถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่น สถาบันที่สิงคโปร์และในสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ ในระยะหลังสามารถหลีกเลี่ยงการส่งตัวอย่างไวรัสโดยตรง ซึ่งทำได้โดยการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัวไวรัสและคัดเลือกตัวที่น่าจะทำให้เกิดโรคใหม่ที่ร้ายแรงกว่าเก่า และสามารถนำข้อมูลพันธุกรรมเหล่านี้มาปรับแต่งตามฐานข้อมูลเดิม และสามารถสร้างไวรัสในห้องปฏิบัติการได้เอง...เป็นธุรกิจข้ามชาติ
หากยังพอจำกันได้ ความคืบหน้าสำคัญช่วงต้นปีที่แล้ว “หมอดื้อ” หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกาศยุติการศึกษา “wildlife surveillance”...การเฝ้าระวังสัตว์ป่าทั้งหมด เนื่องจากอันตรายร้ายแรงที่อาจจะเกิดขึ้น
สืบเนื่องมาจาก...การสืบค้น เปิดโปง การวิจัย พัฒนาเชื้อจากค้างคาวจนเป็น “โควิด”
ตรงนี้เองที่เป็นข้อสรุปสำคัญให้ต้องยุติการเข้าไปสำรวจค้างคาว เพื่อจะหาไวรัสตัวแปลกๆ และนำมาตัดต่อพันธุกรรม เพื่อที่จะทำให้เข้ามนุษย์และเกิดโรคในมนุษย์ได้
เหตุผลก็คือมีความเสี่ยงอย่างสูงสุดที่จะก่อให้เกิดอันตราย ตั้งแต่การที่เข้าไปสำรวจค้างคาวในพื้นที่ในป่าเพราะเป็นการนำเชื้อจากค้างคาวเข้ามาติดให้มนุษย์ นอกจากนั้นยังเป็นการนำเชื้อไวรัสจากมนุษย์เข้าไปสู่ค้างคาว และประกอบร่างใหม่เป็นไวรัสชนิดใหม่ (reverse zoonosis)
หลังจากนั้นความเสี่ยงของอันตรายที่จะเกิดขึ้น ถ้ามีการเก็บตัวอย่างจากพื้นที่สำรวจเข้ามาในห้องปฏิบัติการ ทำให้ยังมีความเสี่ยงสูงที่เชื้อจะเล็ดลอด ออกไปจากห้องปฏิบัติการติดคนทำงานอีกต่อ
และ...เกิดการระบาดในชุมชนต่อไป
ตัวอย่างของอันตราย เช่น การเข้าไปทัศนาจรในถ้ำค้างคาวในแอฟริกาทำให้มีการติดไวรัสในตระกูลอีโบลา คือ “ไวรัสมาร์บูร์ก” นำกลับไปยังประเทศอเมริกาและเนเธอร์แลนด์
การอ้างว่าเข้าไปสำรวจค้างคาว เพื่อหาไวรัสแปลกใหม่และมาปรับปรุงให้มีความรุนแรงมากขึ้น เพื่อให้เข้ามนุษย์ เพื่อที่จะได้วางแผนทำนายว่าจะมี “โรคอุบัติใหม่” ทั่วโลกตัวต่อไปคืออะไร ไม่เคยประสบความสำเร็จ และที่อ้างว่าเพื่อเป็นการสร้างวัคซีนล่วงหน้าในอนาคตไม่เป็นความจริง
...
ในขณะที่ยังเป็นที่สงสัยว่า “วัคซีนโควิด” มีการจดสิทธิบัตร ก่อนการระบาดโควิด
แท้ที่จริงแล้วเป็นเรื่องเหมาะสมหรือไม่ เมื่อพิจารณาถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นและประโยชน์แท้จริงที่จะได้รับ?
การรื้อค้นข้อมูลความจริงในปี 2023 พบว่า สถาบันสาธารณสุขของสหรัฐฯ (NIH) ร่วมกับองค์กร EcoHealth alliance มีความร่วมมือกับสถาบันไวรัสอู่ฮั่นในการเก็บเชื้อมาตัดต่อพันธุกรรม
ตั้งแต่หลังจากที่ซาร์สระบาด ในปี 2002 และ 2003 และมีการประกาศทั่วไปถึงความสำเร็จ ที่สร้างไวรัสสายพันธุ์ผสมสองตัว (chimera) ที่ทำให้เกิดติดเชื้อในเซลล์มนุษย์และก่อให้เกิดการติดเชื้อในหนูที่ปรับเปลี่ยนรหัสพันธุกรรมแบบคน จนเกิดโรครุนแรงในหนูและสัตว์ทดลองอื่นๆได้อย่างรุนแรงขึ้น
ซึ่งหลังจากที่มีการระบาดของโควิด...มีการสืบสวนถึงต้นตอของโควิด พบว่ามีการปกปิดข้อมูลและมีการบิดเบือนว่าไม่มีการตัดต่อพันธุกรรมและยืนยันว่าโควิดนั้นเกิดจากธรรมชาติ
ทว่า...จากหลักฐานต่อมาทางวิทยาศาสตร์ล้วนไม่สนับสนุนการเกิดขึ้นตามธรรมชาติทั้งสิ้น นักวิทยาศาสตร์ที่ออกมาอ้างว่าเกิดตามธรรมชาติและกล่าวหาว่าการเกิดจากห้องปฏิบัติการนั้นเป็นเรื่องโคมลอย โดยมีการตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในช่วงต้นปี 2020 ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์
...
ผลปรากฏพิสูจน์ว่าบุคคลเหล่านี้มีผลประโยชน์ทับซ้อน...มีส่วนในการอนุมัติให้ทุนหรือได้รับทุนวิจัยจากสถาบันสาธารณสุขแห่งชาติของสหรัฐฯและมีความร่วมมือกับสถาบันไวรัสอู่ฮั่น...มีส่วนในการตัดต่อพันธุกรรมไวรัสที่มาจากค้างคาว และแม้กระทั่งมีการจดสิทธิบัตร “วัคซีน mRNA โควิด” ล่วงหน้า ในปี 2014-2015
ที่สำคัญ...จากการวิเคราะห์ไวรัสโควิดพบว่า รหัสพันธุกรรมตำแหน่งสำคัญของไวรัสโควิดที่เข้าคนได้นั้น (furin cleavage site) เป็นตำแหน่งที่ไม่ควรมีความเป็นไปได้ ที่จะเป็นไปโดยการเกิดตามธรรมชาติ
โดยต้องใช้เวลาเป็นหลายสิบปี เมื่อเทียบจากรหัสพันธุกรรมของไวรัสจากค้างคาวจากธรรมชาติทั้งหมดที่คล้ายคลึงกับ “โควิด” มากที่สุดก็ตาม
นอกจากนั้นมีการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการในเดือนมีนาคม 2023 ยังพบว่า “ค้างคาว” ที่อ้างว่าเป็นตัวนำ “โควิด” มีแต่เชื้อไวรัสที่คล้ายโควิดทั้งสิ้นและเป็นการตอกย้ำที่มีการกล่าวอ้างว่าโควิดนั้นเป็นการวิวัฒนาการตามธรรมชาติจนกระทั่งเข้าสู่คนเป็นเรื่อง...“ไม่จริง”
...
เอาว่าไวรัสพัฒนากลายพันธุ์ระบาดตามธรรมชาติเป็นเรื่องที่มนุษย์ปฏิเสธไม่ได้ หากแต่ “ไวรัสประดิษฐ์” ฝีมือมนุษย์กลายพันธุ์สุดอันตราย เป็นสิ่งที่เราทุกๆคนต้องช่วยกันต่อต้าน...คัดค้าน.
คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม