ส่อเจตนาที่จะเอาการเมืองไปพันกับเศรษฐกิจ เพื่อสนองนโยบายประชานิยมที่หาเสียงไว้ของตัวเอง
ระวังมันจะม้วนเข้าตัวจนเดินหน้าต่อไปไม่ได้
ที่สำคัญจะทำให้กระทรวงการคลังขาดความน่าเชื่อถือ ซึ่งไม่เป็นผลดีอย่างยิ่งไม่ใช่แค่การที่นายกรัฐมนตรีควบตำแหน่ง รัฐมนตรีคลังเท่านั้น
แต่มันกินความไปถึงหน่วยงานสำคัญของรัฐบาลคือ กระทรวงการคลังจะเกิดปัญหาจากการไม่ได้รับการยอมรับทั้งในประเทศและนานาประเทศ
ความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาลจะหดหายไปในทันที
ไอ้ที่จับมือกับนักลงทุนต่างชาติไปขายโปรเจกต์ต่างๆ หวังดึงให้มาลงทุนอาจจะสูญเปล่าได้ เพราะขาดความน่าเชื่อและไว้วางใจ
“ชัย วัชรงค์” โฆษกรัฐบาลพึงสำเหนียกเอาไว้ด้วย ถือเป็นการเสียมารยาทอย่างยิ่ง
จากการที่นำเอกสารสำคัญที่กระทรวงการคลังมาแถลงต่อสื่อมวลชนว่าด้วยตัวเลขจีดีพีไทยปี 2566 เติบโตเพียง 1.8% เท่านั้น
ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำมาก ต่ำกว่าตัวเลขของแบงก์ชาติต่ำกว่าตัวเลขของไอเอ็มเอฟหรือแบงก์พาณิชย์อื่นๆ ซึ่งมีตัวเลขที่ใกล้เคียงกัน
แต่ของกระทรวงการคลังโด่เด่ออกมาต่ำสุดอย่างน่าแปลกใจ
แต่พอแถลงเสร็จยังไม่ทันไรก็ออกมาเผยว่า เอกสารดังกล่าวเป็น “เอกสารหลุด” เนื่องจากกระทรวงการคลังยังไม่ได้เคาะขั้นสุดท้าย
แล้วก็รีบขอโทษขอโพยในความผิดพลาด
แต่เมื่อกระทรวงการคลังแถลงในวันต่อมา ตัวเลขก็ไม่ต่างจากที่โฆษกรัฐบาลนำมาเปิดเผยแต่อย่างใด
เพราะมันเป็นเอกสารชุดเดียวกัน
ทว่าโฆษกรัฐบาลฉวยเอามาแถลงตัดหน้า เพื่อตีกินทางการเมือง เนื่องจากตัวเลขต่ำที่สะท้อนว่า เศรษฐกิจไม่ดีหรือ “เศรษฐกิจวิกฤติ” อย่างที่นายกรัฐมนตรีและคนของรัฐบาลท่องเป็นสูตรคูณทุกวัน เพื่อทำให้ผู้คนเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ
...
จำเป็นต้องเดินหน้านโยบาย “ดิจิทัลวอลเล็ต” ออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
นี่เป็นวิธีการที่ไม่ชอบมาพากลอย่างยิ่ง
ผู้ว่าการแบงก์ชาติยืนยันมาตลอดว่า ประเทศไทย “เศรษฐกิจไม่วิกฤติ” แต่เติบโตช้าจึงไม่จำเป็นต้องกู้เงินจำนวนมากมายมากระตุ้น เพราะได้ไม่คุ้มเสียต้องเป็นหนี้เป็นสินมากมายอย่างนี้
นายกรัฐมนตรีบอกว่า เป็นการมองต่างมุมด้วยอาการที่บอกว่าไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก แต่เนื่องจากไม่กล้าสั่งการเอง เนื่องจากแบงก์ชาติมีความเป็นอิสระไม่ให้นักการเมืองเข้าไป “ล้วงลูก”
วันนี้รัฐบาลดูท่าจะจนแต้ม เนื่องจากเสียงคัดค้านที่เกิดขึ้นรอบด้านและยังมีกฎหมายบังคับให้ต้องปฏิบัติตาม
จึงต้องดิ้นทุกวิถีทางเพื่อหาความชอบธรรม เพื่อเดินหน้าต่อไปให้ได้
โฆษกรัฐบาลหวังสร้างคะแนนนิยมให้นายกรัฐมนตรีพอใจ ก็เลยถือโอกาสลักไก่ไปเอาข้อมูลที่เห็นว่าเป็นเชิงลบกับนโยบายนี้ออกมาเผยแพร่
แม้นายกรัฐมนตรีจะออกตัวว่าไม่เคยคิดที่จะไปก้าวล่วงนำข้อมูลจากกระทรวงการคลังออกมาหาประโยชน์ ต้องให้เกียรติกัน
แต่คนของรัฐบาลทำเสียเองอย่างนี้...นายกรัฐมนตรีไม่รู้ไม่เห็นเลยหรือ?
น่าสงสัยไม่น้อย!
“สายล่อฟ้า”
คลิกอ่านคอลัมน์ "กล้าได้กล้าเสีย" เพิ่มเติม