กระทรวงพาณิชย์แถลงตัวเลขคาดการณ์ อัตราเงินเฟ้อ ทั่วไปในปี 2567 จะอยู่ที่ระดับ-0.3-1.7% อัตราเงินเฟ้อในปี 2566 ที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 1.23% ซึ่งถ้ายึดตามตัวเลขนี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน สามารถที่จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาได้

ปัญหาการขาดสภาพคล่องของเม็ดเงินในระบบเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง การขาดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ เสริมสภาพคล่องของธุรกิจ ทำให้รัฐต้องแบกรับภาระหนี้จากการลงทุนและการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าปัจจัยของอัตราเงินเฟ้อและตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ

การใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน เช่น การเพิ่มเม็ดเงินเข้าไปในระบบ การลดอัตราดอกเบี้ย เป็นเพียงทางออกบางส่วนในการบรรเทาวิกฤติ เนื่องจากบริษัทเอกชนที่มีความเปราะบาง มีความเสี่ยงเรื่องเม็ดเงินการลงทุน เริ่มไม่สามารถชำระหนี้ได้ ประสบปัญหาสภาพคล่องและเริ่มปิดตัวไปบ้างแล้ว

หนี้คงค้างในตลาดตราสารหนี้ ปีที่แล้วมีมูลค่า 15.8 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นพันธบัตรรัฐบาล 7.8 ล้านล้านบาท หุ้นกู้เอกชน 4.5 ล้านล้านบาท และอื่นๆอีก 3.5ล้านล้านบาท ดังนั้นการที่รัฐต้องการจะออกพันธบัตรเพิ่มเติมเพื่อนำมาใช้ในโครงการต่างๆตามนโยบายของรัฐจึงไม่ราบรื่น

การขยายตัวทางเศรษฐกิจยังเป็นบวก ส่งสัญญาณว่า ขณะนี้ยังไม่ถึงกับเกิดสภาวะเงินฝืด หลังจากที่มีความพยายามในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อได้ตามเป้าหมาย

มีเสียงเรียกร้องให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบายลงมาบ้าง จะได้ช่วยเสริมสภาพคล่องทางธุรกิจอีกแรง แต่ปัญหาคือ บริษัทหรือธุรกิจเปราะบาง มีภาระหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบในช่วงที่เกิดวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 ประกอบกับกำลังการบริโภคที่หายตามไปด้วย การฟื้นตัวหรือการดำเนินธุรกิจต่อไปจึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก

...

ตกอยู่ในสภาพ ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย

การเรียกร้องให้มีการลดดอกเบี้ย หรือปล่อยให้ค่าเงินเคลื่อนไหวตามกลไก จึงเป็นการเปิดช่องทางและโอกาสทางธุรกิจ ส่วนภาคธุรกิจ ภาคเอกชน จะดิ้นรนต่อไปได้อย่างไร ยังมีปัจจัยอื่นที่จะต้องนำมาพิจารณาร่วมด้วย

มีหนี้บ้านหนี้รถ ที่มีปัญหาผ่อนต่อไม่ไหว ค้างค่างวด พุ่งกว่าร้อยละ 37 แนวโน้มยอดปฏิเสธสินเชื่อบ้านอาจเพิ่มขึ้นร้อยละ 60

มีประชากรไทย ไม่ต่ำกว่า 25 ล้านคน มีภาระหนี้รุนแรง จากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น และการขาดสภาพคล่องทางธุรกิจ มีรายได้ไม่พอกับรายจ่าย มีมูลค่าหนี้เพิ่มขึ้น 2-3 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาและก่อให้เกิดหนี้เสีย 2 ใน 3 เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือหนี้เสีย ที่ไม่ได้มาจากการลงทุนแต่เกิดจากการดำรงชีวิตประจำวัน

ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำของโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สูงถึงร้อยละ 20 คนไทยทุกเพศทุกวัย ตกอยู่ในสภาพที่ต้องแบกรับภาระหนี้ครัวเรือน หนี้สาธารณะและหนี้นอกระบบ เพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่น่ากังวล

เข้าสู่สังคมหนี้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด.

หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th

คลิกอ่านคอลัมน์ "คาบลูกคาบดอก" เพิ่มเติม