ทุกวันเสาร์ที่  2 ของเดือนมกราคม ทุกปีถูกกำหนดให้เป็น “วันเด็กแห่งชาติ”...เป็นวันที่ผู้ใหญ่ในสังคมได้มองเห็นคุณค่าและความสำคัญของเด็กว่าพวกเขามีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่จากผู้ใหญ่ตลอดไป

“เด็กถือว่าเป็นทรัพยากรอันมีค่าของสังคมและประเทศชาติ ถ้าสังคมเราได้เด็กดีก็หวังได้เลยว่าวันข้างหน้าย่อมจะดี แต่ถ้าสังคมเราได้เด็กที่ไม่ดี...ไม่มีคุณภาพแล้วก็อย่าหวังเลยว่าอนาคตของสังคมและชาติบ้านเมืองเราจะเดินไปได้ด้วยดี”

พระครูจินดาสุตานุวัตร (พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก) ประธานมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน เจ้าอาวาสวัดบางไส้ไก่ กทม. บอกว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่เราเป็นผู้ใหญ่ในสังคมจะต้องหันมาให้ความสำคัญ และดูแลเอาใจใส่เด็กกันให้มากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ โดยขอมุ่งเน้นไปด้านต่างๆ...

พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก
พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก

ประการที่หนึ่ง เด็กทุกชีวิตที่เกิดมาล้วนต้องการความจำเป็นพื้นฐานคือปัจจัยสี่อันประกอบด้วย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค นี่คือความจำเป็นเบื้องต้นที่เด็กทุกคนควรจะได้รับ

...

เพราะชีวิตของมนุษย์เราล้วนอาศัยปัจจัยสี่เพื่อการดำรงชีพ “เด็ก”...ก็เช่นเดียวกัน

ประการที่สอง เด็กทุกคนจะต้องได้รับการศึกษาตามความจำเป็นขั้นพื้นฐานของชีวิตและของวัยนั้นๆ การศึกษาของเด็กมีอยู่ 2 ประเภทคือการศึกษาทางกายกับการศึกษาทางใจ

การศึกษาทางกายคือเด็กควรได้รับการเรียนรู้พัฒนาการให้เหมาะสมกับวัย

“ไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียนระดับก่อนวัยเรียนระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา จนไปถึงกลายเป็นเยาวชนคือระดับอุดมศึกษา ไม่ว่าเด็กจะอยู่ในที่แห่งหนตำบลใด จะเป็นเด็กในสังคมเมือง ในชุมชนแออัด จะเป็นเด็กในชนบท เด็กในถิ่นทุรกันดาร จะเป็นเด็กด้อยโอกาสในรูปแบบต่างๆล้วนควรจะได้รับทุกคน”

การศึกษาทางกายคือ เด็กมีสติและปัญญาเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ตามระดับของสมองที่เด็กจะรับได้ ไม่ว่าจะเป็นวิชาการโดยตรงหรือการประพฤติปฏิบัติตามหลักวิชาการที่ได้เรียนมา

ส่วนการศึกษาทางใจ เด็กควรจะได้รับการฝึกอบรมบ่มนิสัยพัฒนาจิตใจ อารมณ์ จิตสำนึกอย่างเต็มที่และเพียงพอ เด็กที่มีจิตใจดีงามก็จะได้แสดงออกทางกายหรือทางกิริยามารยาทที่สวยงาม มีจิตเมตตาอารีรู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนอื่น รู้จักช่วยเหลือคนอื่นที่ตกทุกข์ได้ยากหรือได้รับความลำบากเดือดร้อน

พระครูจินดาสุตานุวัตร ย้ำว่า เด็กที่มีอารมณ์มั่นคง มีจิตใจที่สงบ ย่อมจะพบแต่ความสำเร็จในการศึกษาเล่าเรียน...ในการดำรงชีวิตประจำวันเป็นผลดีต่อครอบครัว สถานศึกษา และสังคมที่เด็กคนนั้นๆเกี่ยวข้อง ดังนั้นการศึกษาจึงถือว่าเป็น “หัวใจอันสำคัญ” ที่จะบ่งบอกว่า “อนาคตเด็ก” จะเป็นไปในทิศทางใด?

นับรวมไปถึงบ่งบอกด้วยว่า...อนาคตของชาติบ้านเมืองจะเป็นไปในทิศทางใดเช่นกัน?

ประการที่สาม เด็กทุกคนจะต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมของชีวิตสิ่งแวดล้อมจึงมีความจำเป็นมากอีกประการหนึ่ง เพราะจะสามารถโน้มน้าวให้เด็กมีทัศนคติเป็นไปในทิศทางใด รักและชอบชีวิตรวมถึงหน้าที่การงานเพื่อการดำรงชีพด้านใด...สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบกายเด็กดีก็ย่อมมีโอกาสที่จะผลักดันให้เด็กเป็นคนดี

...

ตรงกันข้าม...ถ้าสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีมีแต่มลพิษภาวะก็ย่อมจะสามารถโน้มน้าวให้เด็กเจริญเติบโตขึ้นมาได้ไม่ดีเท่าที่ควรจะมีหรือควรจะเป็น

“ผู้ใหญ่ในสังคมทุกระดับชั้นจึงควรสร้างให้สังคมเราเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความผูกพัน ความหวังดี การเกื้อกูลกัน ช่วยขจัดความขัดแย้งที่จะนำไปสู่ความรุนแรง ความเสียหาย ความย่อยยับของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง รู้จักอนุโลม ผ่อนปรน...เพื่อให้พบกันครึ่งทางให้อยู่ได้และอยู่รอดอย่างมีความสุขไปด้วยกัน”

คนเราต้องเข้าใจว่า...“ทุกสิ่งทุกอย่างจะให้เป็นไปดังความหวังหรือความต้องการของตนเองเพียงคนเดียวอย่างเดียวคงเป็นไปไม่ได้ จะต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา รู้จักยืดหยุ่นโดยเดินทางสายกลาง ไม่เคร่งครัดมากนัก ไม่หย่อนยานมากนัก เสียสละให้มาก มุ่งหวังนำเอาทุกอย่างไปสู่ความสุขความสงบ

...และการระงับเหตุภัยทั้งปวง สุดท้ายก็จะเกิดการร่วมใจกันจัดสิ่งแวดล้อมให้กับเด็กซึ่งเป็นบุตรหลานของเราและสังคมของเรา ผลดีก็จะเกิดขึ้นกับทุกชีวิตที่อยู่ในสังคมของเรา”

นี่คือของขวัญอีกประการหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม

...

ประการที่สี่ เด็กทุกคนควรจะอยู่ในสังคมที่มีศีลธรรมอันดี มีศาสนาที่ตนเองเคารพและนับถือเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ หลักธรรมคำสอนของแต่ละศาสนาก็มีอยู่แล้ว และคำสอนของทุกศาสนา “ล้วนสอนให้มนุษย์เราเป็นคนดี” ผ่านรูปแบบวิธีการปฏิบัติเพื่อให้เข้าสู่ศาสนาหรือเพื่อให้ประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง

เด็กทุกชีวิตจึงควรได้รับการปลูกฝังความเชื่อ...ความศรัทธาให้ถูกต้อง ให้เด็กได้สัมผัสอยู่ตลอดเวลาและทุกวัน โอกาสที่เด็กจะเจริญเติบโตขึ้นมาบนพื้นฐาน “แห่งความดี” ก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ

ประการที่ห้า “วันเด็ก”...ถือว่าเป็นวันที่สำคัญของชาติอีกวันหนึ่ง ถ้าเราต้องการให้เด็กเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นคนดีและมีคุณภาพแล้วพวกเราจะต้องช่วยกัน “ขจัดอบายมุขคือสิ่งมอมเมาบุตรหลานของเรา” ให้มีลดน้อยถอยลงไป

“ทุกวันนี้เรามาช่วยกันสนับสนุนและส่งเสริมการดื่มน้ำเมา ของมึนเมาทุกชนิด กระท่อมก็ให้เสพที่ถูกกฎหมายกันแล้ว กัญชาก็เริ่มให้มีเสพเสรีกันแล้ว ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีบทสรุปหรือข้อยุติที่ชัดเจนก็ตาม ทั้งยังจัดนโยบายขยายให้เปิดสถานบริการกลางคืนด้วยความหวังจะฟื้นเศรษฐกิจจนถึงตีสี่ของวันใหม่...”

...

ล้วนส่งเสริมให้ผู้คนในสังคมเที่ยวกลางคืนสนองกาม กิเลสราคะ ตัณหามนุษย์มากขึ้นจนเกินไป ส่งเสริมให้มีนักดื่มหน้าใหม่ ส่งเสริมให้เด็ก เยาวชนไปเกี่ยวข้องกับสิ่งตกต่ำทางศีลธรรมมากขึ้น

ก่อให้เกิดการละเมิดทางเพศ เยาวชนก่ออาชญากรรมหนักมากขึ้น ก่อให้พวกเขาสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนในสังคมมากขึ้น สนับสนุนให้ผู้คนประพฤติผิดศีลธรรมและกฎหมายความสงบสุขในสังคมมากขึ้น สรุปแล้ว...มีนโยบายที่ส่งเสริมกิเลสตัณหาของมนุษย์นั่นเอง

สุดท้าย...“ศีลธรรม” คำสอนของศาสนาก็จะตกต่ำลงไปอย่างที่ไม่ต้องสงสัยกันเลย

ถ้าเราจะให้ความสำคัญแก่วันเด็กแห่งชาติและทุกวันที่มีต่อเด็กก็ไม่ควรส่งเสริมหรือสนับสนุนให้ผู้คนเกี่ยวข้องกับ “อบายมุขคือทางแห่งความเสื่อม” ไปมากกว่านี้ ทางที่ดีควรจะตระหนักในเรื่องนี้แล้วใช้อำนาจและโอกาสที่มีนี้ มิให้อบายมุขมาครอบงำผู้คนในสังคม บุตรหลานของสังคมของเรา

เสียดายที่ผ่านมามีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการ “ลดอบายมุข” อย่างได้ผลและเป็นผลดีต่อส่วนรวม รวมถึงประเทศชาติ แต่มาวันนี้ไม่เป็นเช่นนั้น คงต้องทำใจว่าอนาคตของบุตรหลานในสังคมเราก็น่าจะ “มืดมน” ไปในที่สุด...คำขวัญวันเด็กหรือวลีต่างๆที่ผู้ใหญ่ให้กับเด็กแต่ละปีคงจะเป็นคำหวานลมๆแล้งๆ?

อาตมาขอฝากอนาคต “เด็กไทย” ไว้กับทุกๆคน ทุกๆส่วน และทุกๆฝ่าย

...บุตรหลานเราจะดีต้องมี “ผู้ใหญ่” ที่ดีเป็นคนนำทางแก่พวกเขา วันเด็กแห่งชาติหรือทุกวันที่เด็กมีชีวิตอยู่ในสังคมของเรา ผู้ใหญ่ควรประพฤติปฏิบัติตัวแต่ในทางที่ดีให้เด็กเห็นและสัมผัสตลอดเวลา ผู้ใหญ่ดี...เด็กจะต้องดีอย่างแน่นอน

“อนาคตของเด็กจะดี”...ผู้ใหญ่ก็ต้องดีเสมอต้นเสมอปลายให้เขาเห็น.

คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม