แม้ว่าในปีที่แล้วทั่วโลกจะเพิ่งผ่าน “วิกฤติโควิด-19 กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวดีขึ้น” แต่ได้ไม่นานก็ต้องมาเจอสถานการณ์ “การสู้รบระหว่างอิสราเอล–กลุ่มฮามาส” ที่มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เข้าสู่สงครามภูมิภาคตะวันออกกลาง และมีความเสี่ยงกระทบเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อโลกมากขึ้นเรื่อยๆ

โดยเฉพาะกรณี “การลอบโจมตีเรือสินค้าแล่นผ่านทะเลแดง” จนบริษัทขนส่งรายใหญ่หลายแห่งเริ่มเลี่ยงเส้นทางผ่านทะเลแดง และหยุดเดินเรือชั่วคราว “จะกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในอนาคต” แต่เรื่องนี้ก็ส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปลายปี 2566 หดตัวลงเหลือ 2.5% จากที่เคยประเมินไว้ระดับ 3-3.5%

เรื่องนี้จะมีผลต่อเศรษฐกิจปี 2567 มากน้อยเพียงใดนั้น วิเชียร แก้วสมบัติ ผช.ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย วิเคราะห์ผ่านงานแถลงข่าวประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566-2567 ว่า

ถ้าย้อนดูอัตราขยาย GDP ในปี 2566 ไตรมาส 3 อยู่ที่ 1.9% จากเดิมที่ประเมินไว้เดือน ก.ย.มีโอกาสขยายตัว 3% แต่ด้วยระดับสินค้าคงคลังในระบบเศรษฐกิจติดลบเกือบ 2 แสนล้านบาท ทำให้ฉุด GDP ลดลงกว่า 1%

...

สาเหตุคงคลังลดลงนั้นก็เพราะ “ภาคการผลิตไม่มั่นใจเศรษฐกิจ” ถ้าผลิตสินค้าใหม่มาจะขายได้หรือไม่ กลายเป็นการชะลอผลิตสินค้าออกเพิ่มโดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม และนำสินค้าในสต๊อกเดิมออกมาขายแทน ทำให้สินค้าในสต๊อกเดิมลดลงแล้วไม่มีสินค้าใหม่มาสะสมที่จะนำออกไปขายกลายเป็นตัวฉุด GDP ลงมานี้

ในส่วน “นักท่องเที่ยวตัวเลขสะสม 28 ล้านคน” ผิดคาดจากที่ตั้งเป้าไว้ 30 ล้านคน “สาเหตุเพราะนักท่องเที่ยวชาวจีนฟื้นตัวช้า” ทำให้ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ จำนวนนักท่องเที่ยวมากสุดคือ มาเลเซีย 4.4 ล้านคน จีน 3.4 ล้านคน จากตั้งเป้า 5 ล้านคน เกาหลี 1.6 ล้านคน อินเดีย 1.5 ล้านคน รัสเซีย 1.4 ล้านคน

นอกจากนี้ “แรงขับเคลื่อนทางการคลัง” มีแนวโน้มลดลงจากความล่าช้า “ออก พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567” ต้องปรับลดประมาณการ GDP ทั้งการใช้จ่ายอุปโภคบริโภคของภาครัฐบาล และการลงทุนภาครัฐในส่วน “การนำเข้าสินค้ากลับมาเร่งตัว” จากไตรมาส 3 ติดลบแต่เข้าไตรมาส 4 แอ็กทีฟขึ้นเป็นผลติดลบน้อยลง

ปัจจุบันการนำเข้าเป็นบวก 10% ขณะที่การใช้จ่ายของภาคเอกชนยังขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งในเรื่องการบริโภคและการลงทุน เช่นเดียวกับ “การส่งออกกลับมาขยายตัวดีขึ้น” เพราะในปี 2565 ไตรมาส 4 มีฐานการส่งออกระดับค่อนข้างต่ำ ทำให้พลิกกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้อีกครั้งมาตลอดในปี 2566

ฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อประมาณการ GDP ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคภาคเอกชน การส่งออก การลงทุนเพิ่มขึ้น “มีผลให้ GDP บวก 1.29%” ส่วนการสะสมสินค้าคงเหลือลดลง นักท่องเที่ยวลดลง การบริโภคการลงทุนของภาครัฐลดลง และนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น “ส่งผลต่อ GDP ติดลบ 1.78%” ผลกระทบสุทธิคงเป็นลบที่ 0.49%

ดังนั้นในปี 2566 “มีการปรับลดตัวคาดการณ์ GDP ลงมาเหลืออยู่ที่ 2.5% จากที่เคยประเมินไว้ 3%” ทำให้เครื่องมือชี้วัดลดตามทั้งการบริโภครัฐบาลติดลบ 4.3% การลงทุนภาครัฐลบ 0.9% การนำเข้าสินค้าลบ 2.3% อัตราว่างงานดีขึ้น 0.98% อัตราเงินเฟ้อ 1.3% ลดจาก 1.8% สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP จาก 89.5% เป็น 89.8%

ทว่าถ้าหากมาดู “การประมาณการเศรษฐกิจมหภาคปี 2567” ปัจจัยสนับสนุนมักจะเป็นการฟื้นตัวอย่างชัดเจนของภาคการท่องเที่ยวที่มีตัวเลขเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง การบริโภคของภาคเอกชนยังขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี หรือการลงทุนก็มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดี และการกลับมาขยายตัวของการส่งออกสินค้าอีกด้วย

ขณะเดียวกัน “อัตราเงินเฟ้อเริ่มมีสัญญาณชะลอตัว” ที่จะส่งผลดีต่อการดำเนินนโยบายเกี่ยวกับการเงินอันจะช่วยผ่อนคลายได้ในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงมาตรการทางเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะมีโครงการต่างๆ ออกมาช่วยกระตุ้นทางด้านเศรษฐกิจในปีนี้อีกมากมายด้วย

ตอกย้ำข้อจำกัด “ปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้” อย่างกรณีความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีแนวโน้มขยายขอบเขตมากขึ้น เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน สู้รบกันมา 2 ปีแล้ว ความขัดแย้งจีน-ไต้หวัน ก็ยังไม่มีข้อยุติ หรือการสู้รบของอิสราเอล-กลุ่มฮามาส ที่มีโอกาสพัฒนาเป็นสงครามภูมิภาคตะวันออกกลางได้เสมอ

...

เช่นเดียวกับ “การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน” ก็ยังค่อนข้างมีข้อจำกัดอันเนื่องจากปัญหาโครงสร้างหนี้สินภาคอสังหาริมทรัพย์ หาทางแก้ไม่ได้ ทำให้กลุ่มนักธุรกิจด้านนี้ล้มละลาย และกำลังจะล้มละลายอยู่อีกมากสิ่งนี้จะเป็นตัวฉุดรั้งการบริโภคในประเทศจีนลดลง และส่งผลให้ออกมาท่องเที่ยวไทยน้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้ตามมา

นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงในประเทศ “มักมาจากปัญหาภัยแล้ง” ในปีนี้มีแนวโน้มค่อนข้างรุนแรงมากกว่าปีก่อน สิ่งเหล่านี้ล้วนจะเป็นอุปสรรคสำคัญอันจะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2567

ย้อนกลับมาดู “การประมาณการเศรษฐกิจมหภาค” ถ้าประมาณปริมาณการค้าโลกในปี 2567 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 3.5% แต่เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวเหลือ 3% นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้น 35 ล้านคน และรายจ่ายสาธารณะเดิมอยู่ที่ 3.98% จะเพิ่มขึ้นเป็น 4.13% ราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 85 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล

อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯจะลดลง 4.75-5.50% แต่ดอกเบี้ยไทยจะอยู่ที่ 2.00-2.50% เหตุนี้ทำให้ “สามารถประมาณการ GDP ด้านรายจ่ายในปี 2567 อยู่ที่ 3.2%” ปรับขึ้นจากปี 2566 อยู่ที่ 2.5% เพราะการลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 3.4% การส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้น 3.0% เดิมเคยติดลบ 0.9% การนำเข้าสินค้า 3.8%

...

อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (ไม่รวมผลของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต) 2.0% อัตราการว่างงาน 0.9% สัดส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนต่อ GDP ลดลงจากปีที่แล้ว 89.8% คงเหลือ 87.8%

สำหรับปัจจัยผลักดัน “การขยายตัว” มีตั้งแต่การสะสมสินค้าคงเหลือมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น การส่งออกสินค้า การบริโภคภาคเอกชน การเพิ่มของนักท่องเที่ยว แต่ตัวฉุดรั้งยังเป็นการนำเข้าสินค้าที่สูงขึ้น ฉะนั้นครึ่งปีแรก “GDP จะขยายตัวได้ 3.3%” (ยังไม่รวมผลของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต) ส่วนครึ่งปีหลังนั้น “GDP จะขยาย 3.1%”

...

นอกจากนี้ “โครงการ Easy E–Receipt 2567” เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ. ประชาชนซื้อสินค้าหักลดหย่อนภาษีมูลค่าเพิ่ม “กระตุ้นการใช้จ่ายราว 2.1 หมื่นล้านบาท” ทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยประมาณ 6.2 หมื่นล้านบาท ตรงนี้จะมีผลเพิ่มตัวเลข GDP ประมาณ 2.9 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 0.16%

หากวิเคราะห์สถานการณ์ในปี 2567 “โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท” ที่คาดว่าจะเริ่มต้นได้เดือน พ.ค-มิ.ย.นี้ “ผู้รับสิทธิ์มี 50 ล้านคนใช้งบประมาณ 5 แสนล้านบาท” แต่ก็อาจมีผู้ไม่เข้าร่วม 10% ในจำนวนนี้ 80% จะใช้จ่ายครบตามสิทธิ์มีเงินเข้าระบบ 4 แสนล้านบาท “ผลักดัน GDP โตขึ้น 1%” จากฐานเดิม 3.2% ปรับไป 4.2%

กรณีดีที่สุดคือผู้รับสิทธิ์ทุกคนใช้เงินตามสิทธิ์ครบในเวลากำหนด ทำให้มีการใช้เงิน 5 แสนล้านบาท เข้าระบบดัน GDP เพิ่มขึ้น 4.5% แต่กรณีแย่สุด “สงครามอิสราเอล–ฮามาสยืดเยื้อ” ทำให้เศรษฐกิจโลกซึมตัวลงโดยเฉพาะวิกฤติทะเลแดงมีผลกดดันการส่งออกสินค้าไทยไปตลาดยุโรป และอังกฤษ รวมถึงการนำเข้าน้ำมันดิบสูงขึ้น

ทั้งมีเรือขนส่งสินค้าผ่านทะเลแดง 12% ของโลก ตู้คอนเทนเนอร์ 30% จากทั้งโลก ถ้าเรือเลี่ยงเส้นทางทะเลแดงไปอ้อมแหลมกู๊ดโฮปแทนต้องเพิ่มระยะทาง 40% จากเส้นทางเดิม เรื่องนี้จะกระทบต่อการค้าโลกแน่นอนหากสถานการณ์ไม่สงบ แม้สหรัฐฯจะจัดตั้งหน่วยปกป้องเรือสินค้าแต่ก็มีบริษัทเรือหลายแห่งไม่มั่นใจหยุดเดินเรือชั่วคราว

กรณีนี้จะส่งผลต่อ GDP ของไทยลดลงจากฐาน 3.2% คงเหลืออยู่ที่ 2.2% สิ่งนี้เป็นตัวอย่างเท่านั้น

นี่คือ “การประมาณการ GDP ไทย” หักปากกาเซียนมาตั้งแต่ปี 2566 ที่คาดว่าจะขยายตัว 3.5% “ด้วยสงครามอิสราเอล–ฮามาส” มีผลต่อการส่งออกซึมตัวกระทบเศรษฐกิจไทยหดลงเหลือ 2.5% ดังนั้นในปี 2567 “ต้องลุ้นโครงการดิจิทัลวอลเล็ต” ถ้าเกิดขึ้นได้จริงจะมีส่วนดัน GDP โตเพิ่มขึ้น 1–1.3%ได้อีก...

คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม