ส่งท้ายปีเก่า น้องๆนักข่าวทำเนียบก็ยังรักษาระดับการตั้งฉายา ได้คงเส้นคงวา ใช้ลีลาเชิงชั้นภาษา...ส่องกระจกให้ท่านนักการเมือง...ได้เห็นตัวตนตามความเป็นจริง

สะใจนักข่าวแก่ๆเลอะเลือนรุ่นผม ก็ฉายารัฐบาล แกงส้มผลักรวม ซึ่งต้องทำความเข้าใจคำว่า “แกง” คำว่าผักกับผลัก...อีกสักหน่อยนั่นล่ะ!

ได้ยินฉายานี้ บรรดาประสกสีกา ก็คงนึกถึงอีกคำ...ที่ฟังคล้ายกัน คือคำ “แกงสำรวม”

ผมได้ยินคำนี้ครั้งแรก ตอนอายุ 13...เช้าวันแรกที่ไปถึงวัดบางสาม อำเภอสองพี่น้องเมืองสุพรรณฯ ตักแกงส้ม...เข้าปาก รสชาติไม่เอาไหน จนแทบจะคายออก

“พี่เณรปรีชา” บอกยิ้มๆ นี่คือแกงหลายชาม ที่เหลือจากวันวาน เอามาเทรวมกันลงหม้ออุ่นไฟให้ร้อน เรียกแกงสำรวม

การฉันแบบนี้ คือวิถีพระป่า “กินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน”

ย้อนไปอีกสามปี ยังไม่ได้บวชเณร ตามชีพี่สาว ไปวัดเขาวังราชบุรี... ดูพระฉันข้าวที่ท้องพระโรง พระท่านเอากับข้าวหลายๆอย่างคลุกลงกับข้าวในบาตร นี่เป็นการ “ฉันเอกา” ซึ่งมีความหมายว่า ฉันมื้อเดียว

ตอนนั้น ผมยังนึกไม่ออก รสชาติกับหลายๆอย่างที่คลุกในข้าว เป็นไง...พอนึกออกได้ ก็ตอนชิมแกงสำรวม ที่วัดบางสามนี่เอง

พระหลวงพ่อหลายวัดที่เคร่งขลัง...ท่านก็มักฉันเอกา ที่ถือเป็นหนึ่งการบำเพ็ญธรรม เพิ่มบารมี

คนรักพระสมเด็จฯรู้กัน ส่วนผสมหนึ่งในเนื้อพระสมเด็จวัดระฆัง นั้นมีข้าวสุกด้วย เวลาสมเด็จฯฉันข้าวคำไหน แล้วรู้สึกว่า “อร่อย” ท่านก็จะคายออก แล้วเก็บตากแห้งเอาไว้

มีเรื่องเล่า...ที่พระอมรมุนี (จับ ฐิติธัมโม) เจ้าอาวาสวัดโสมนัส...ท่านฟังจาก อาจารย์ของท่าน เจ้าคุณเฒ่า (พระสิริปัญญามุนี ช่วง โชติสิริ)... แล้วเอามาเล่าต่ออีกที

...

ครั้งหนึ่ง เมื่อเจ้าพระคุณ ยังเป็นพระธรรมกิตติ มีผู้นำแกงร้อนวุ้นเส้น หม้อขนาดกลางๆมาถวาย เจ้าพระคุณดำริจะแจกถวายลูกวัดทั้งวัด...แต่ปริมาณแกงไม่พอ

ท่านจึงสั่งให้ศิษย์ก่อไฟกองใหญ่ เอากระทะใบบัวเขื่องตั้ง จัดแจงให้เทแกงวุ้นเส้นลงไป แล้วให้ศิษย์ไปเก็บผักบุ้งในคูข้างกุฏิมาล้างแล้วหั่นเทลง เติมน้ำให้ได้ปริมาณ โรยเกลือปรุงรสเล็กน้อย แล้วต้มจนแกงเดือดพล่าน

เมื่อได้ที่ก็ให้ตีกลองเรียกศิษย์วัดทุกคณะเอาภาชนะมารับแกงร้อนที่ปรุงใหม่ ไปแจกถวายพระเณร

ถึงวันพระ...สมเด็จฯท่านก็ถามพระเณรทีละรูป “ฉันแกงร้อน แล้วรสชาติเป็นยังไง?”

คำตอบเหมือนๆกัน “แกงร้อนที่เจ้าพระคุณปรุงขึ้นนั้น รสชาติโอชะดีอยู่” ท่านเจ้าพระคุณก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไร

จนกระทั่งถามหลวงตา ผู้ชราภาพที่สุดในวัด ได้คำตอบที่แตกต่าง

“ไม่เป็นรสเป็นชาติเลยขอรับ กระผมฉันไม่ได้ เลยเทให้สุนัข แต่มันก็ไม่ยอมกินอีก”

เจ้าพระคุณสมเด็จ พนมมือทั้งสองขึ้น “สาธุ! โล่งใจไปที่วัดของเรา ยังมีพระผู้มีศีลสังวรอยู่องค์หนึ่ง...”

ฟังเรื่องเล่า “หลวงตาสาธุ!” เรื่องนี้ แล้วคิดอะไร...ผมคิดว่า วัดระฆังมีสมภารดี...ต่อจากสมเด็จฯแล้ว ก็ยังมีสมภารดีๆต่อมา วัดระฆังจึงยังรักษาฐานะ วัดดี...มีคนนับถือศรัทธาทั่วบ้านเมือง เอาไว้ได้

ก็อย่างที่คำโบราณว่า วัดมีสมภารดี หลวงชีก็ไม่สกปรก นั่นแหละครับ

บ้านเมืองเรา มีนักข่าวดี ทำหน้าที่ตรงไปตรงมา ทำเนียบมีผู้นำดี เก่งด้วยขยันด้วย รัฐมนตรีจะแอบมีเลื่อนเปื้อน...บ้าง แม้จะถูกฝ่ายค้านอภิปรายหยิกหยอกแรงไปบ้าง แต่ก็ยังรักษาฐานะรัฐบาลมั่นคงไว้ได้

ผมพยายามจะทำเป็นลืมๆเสียว่า ตอนเริ่มรัฐบาล พวกท่านโกหกพกลมไว้แบบไหน...นึกถึงคำโบราณ ต้นร้ายปลายดี ถึงวันนี้ก็ยังพอทำใจได้.

กิเลน ประลองเชิง

คลิกอ่านคอลัมน์ "ชักธงรบ" เพิ่มเติม