สาวนักธุรกิจอาหารสัตว์ในภาคอีสาน อ้างสามีทีมงานพรรคก้าวไกลทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ ประกาศไม่ขอกลับไปอีก เดินหน้าฟ้องทั้งแพ่ง และอาญา เผยข้อเสนอเรื่องทรัพย์สิน ยอมจบด้วยดี

วันที่ 20 ต.ค. 66 ในรายการเปิดปากกับภาคภูมิ ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32 ดำเนินรายการโดย นายภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ วันนี้เป็นการพูดคุยกันในประเด็น นางสาวลักษณ์ ใชยชาญ อายุ 41 ปี สาวนักธุรกิจพันล้านภาคอีสาน เปิดหน้าแฉ อ้างถูก นายอู๊ด อายุ 49 ปี สามี ซึ่งเป็นทีมงานพรรคก้าวไกลซ้อม ทำร้ายจนเลือดอาบ คาดปมสมบัติพันล้าน

นางสาวชลิดา พะละมาตย์ หรืออ้อ ตัวแทนจากมูลนิธิเป็นหนึ่ง เล่าว่า นางสาวลักษณ์ เป็นหนึ่งในสมาชิกของมูลนิธิ และเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวมาก่อน ซึ่งถูกทำร้ายมา เราจึงยื่นมือเข้ามาช่วย 

นางสาวลักษณ์ เล่าว่า ตนคบหากับนายอู๊ด มาสิบกว่าปี เริ่มธุรกิจด้วยกันมา 2 คน พร้อมอ้างว่าธุรกิจที่รุ่งเรืองขึ้น ทำให้เขาเปลี่ยนไป เหตุการณ์ที่เป็นฟางเส้นสุดท้าย คือ ถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ สิ่งที่ต้องการคือ อยากได้ความยุติธรรม สิ่งที่เราควรจะได้ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน อะไรต่างๆ ที่ร่วมสร้างกันมา

วันเกิดเหตุ สามีหายออกจากบ้านไป เมื่อช่วงเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา โดยบล็อกเราหมดทุกช่องทาง จากนั้นก็กลับเข้ามาบ้านช่วงเดือน ส.ค. โดยกลับมาติดกล้องวงจรปิดในบ้าน, GPS ที่รถส่วนตัว, เครื่องดักฟังในห้องนอน ก่อนหายไปอีกเมื่อวันที่ 20 ส.ค. ก็ติดต่อไม่ได้อีก และสุดท้ายกลับมาวันที่ 2 ก.ย. วันเกิดเหตุเขาขับรถมัสแตงเข้ามาเก็บ และจะเอารถตู้ออกไป ระหว่างนั้นก็มีการขนของ เปลี่ยนรถ ตนก็เข้าไปถามเขาดีๆ ว่าหายไปไหนมา ทำไมติดต่อไม่ได้ เขาก็ตะโกนด่ากลับมาว่า เกลียดเรา ไม่อยากอยู่ด้วย เบื่อเรา ทำไมไม่ออกจากบ้านไป และว่าทำไมไม่ตายไปพร้อมกับพ่อและแม่ สิ่งนี้ทำให้ตนโมโห จึงเอาตุ๊กตาหินที่โรงรถ ทุบกระจกรถมัสแตงที่กระจกหน้า และกระจกหลัง มันคงทำให้เขาโมโห จึงเดินเข้ามาทำร้ายตน คิ้วแตก 

...

นางสาวลักษณ์ เผยว่า ตนเป็นลูกกำพร้า พ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่เด็ก จริงๆ เขาไม่ควรขุดพ่อแม่ตนมาพูดแบบนี้ เขาควรให้เกียรติ แต่นี่เขาไม่ได้ให้เกียรติเลย พร้อมยอมรับว่า ก่อนจะถึงวันแตกหัก 2 ก.ย. ก็มีเรื่องกระทบกระทั่งกันมาตลอด ตามประสาผัวเมีย เราก็เคลียร์กันได้ปกติ ส่วนที่เขาหายไป เราไม่รู้สาเหตุ แต่รู้ว่าเขาไปที่ไหนจากการใช้บัตรเครดิตที่ส่งมาที่บ้าน ซึ่งก็พอคาดเดาได้

ซึ่งหลังจากที่เราถูกทำร้าย เราก็อยู่ที่บ้าน ไปแจ้งความที่ สภ.สกลนคร วันที่ 3 ก.ย. เพราะเขาไม่อยู่บ้าน โดยแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกาย ส่วนสามีแจ้งความตนกลับ 3 ข้อหา คือ ทำลายทรัพย์สิน จากการที่ตนไปทุบรถเขา ตนก็งงว่าแจ้งได้อย่างไร เพราะเป็นสินสมรส แต่ก็แล้วแต่เขา, ข้อหาลักทรัพย์ จากการที่ตนไปเปิดตู้เซฟเอาของออกมา ซึ่งอยากบอกเขาว่า เอกสารสำคัญมันก็อยู่ที่บ้าน ตนไม่ได้เอาไปไหนเลย ส่วนทองที่เอาออกมา ก็เป็นสินสมรส ที่เอาออกมาขาย เพราะระหว่างนั้นเขาก็ไม่ได้ให้เงินตนกับลูกไว้ใช้จ่ายเลย ส่วนข้อหาที่ 3 คือ มีชู้ ซึ่งก็เชื่อได้ว่าเป็นสาเหตุที่เขาเอา GPS มาติดที่รถ ที่ดักฟังมาติดในบ้าน แต่เรายืนยันว่าเราไม่มีแน่นอน

นางสาวลักษณ์ เผยถึงเรื่องธุรกิจที่ทำร่วมกันก่อนหน้านี้ว่า รายได้ทั้งหมดของธุรกิจที่ทำด้วยกัน ที่เป็นรายได้ โอนเข้าบัญชีเขาหมด ตนไม่มีรายได้เข้ามาสักช่องทาง

นางสาวชลิดา เผยว่า จากการตรวจสอบ ทั้งเรื่องการถ่ายโอนสินสมรส ไปบุคคลอื่นๆ เราถามทนายมาแล้ว มันเป็นความผิด คนที่รับโอนก็มีความผิด และทราบว่าไปบริษัทใหม่ ชื่อคล้ายกัน โดยใช้สถานที่ตั้งซึ่งนางสาวลักษณ์ เป็นเจ้าบ้าน โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือรู้เรื่องมาก่อน อันนี้ไม่นับเรื่องที่ถูกกระทำ

ส่วนสถานะล่าสุด นางสาวลักษณ์ บอกว่า ตนก็ออกมาโดยไม่มีอะไรเลย เพราะเขาไม่อนุญาตให้เราเข้าไป พร้อมอ้างว่า ได้ยินมาว่า เขาไล่ตนออกจากกรรมการบริษัทแล้ว แต่ตอนหลังพบว่า มีชื่อกลับเข้าไปเป็นกรรมการเหมือนเดิมแล้ว ส่วนบ้านที่อยู่ด้วยกันก็อยู่ไม่ได้ เงินทองก็ได้ออกมาเท่าที่อยู่ในตู้เซฟเท่านั้น เพราะทรัพย์สินหลักๆ 90% เป็นชื่อเขาทั้งหมด และที่ออกมาสู้ ก็เพื่อปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง เนื่องจากทรัพย์สินที่หามาได้ร่วมกัน เป็นสินสมรส ต้องแบ่งกันคนละครึ่ง แต่วันนี้ตนไม่ได้อะไรเลย

นางสาวชลิดา เผยว่า สิ่งที่เราพยายามเรียกร้องอยู่ตอนนี้ เป็นเรื่องของสามีภรรยา ไม่ได้ต้องการที่จะดิสเครดิตพรรคการเมืองแต่อย่างใด

ด้าน นายวิษรุษ มณีรัตน์ หรือทนายเก่ง ทนายของผู้เสียหาย เผยว่า ได้คุยกับคุณลักษณ์หลังเกิดเหตุ พร้อมรวบรวมหลักฐาน เพื่อยื่นฟ้อง หลังเกิดเหตุเพียงไม่กี่วัน สิ่งที่ได้ยื่นฟ้องไปนั้น เป็นคดีแพ่ง เป็นการยื่นฟ้องหย่า แบ่งสินสมรส โดยอาศัยเหตุเรื่องการทำร้ายร่างกาย ส่วนของคดีอาญา เป็นการยื่นฟ้องคดีทำร้ายร่างกาย ซึ่งเป็นการฟ้องตรงต่อศาลทั้งคดีแพ่ง และอาญา 

ขณะที่พ่อของนายอู๊ด เคยให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวว่า สิ่งที่ทำให้เขาแตกหักกัน คงเป็นเรื่องตีหัวนี่แหละ หลังจากที่ลักษณ์มาทุบรถก่อน พูดกันไม่รู้เรื่อง ลักษณ์ก็เป็นคนที่ใจร้อน ซึ่งอยากให้ตำรวจตรวจเลือดด้วย เพราะอ้างว่าดื่มทั้งน้ำท่อม และกัญชา

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นางสาวลักษณ์ ชี้แจงว่า เรื่องกัญชา ในปัจจุบันที่เสรีแล้ว ก็เป็นธรรมดาที่ทุกบ้านก็ปลูก เราก็ปลูกที่ฟาร์ม เด็ดมากินกับน้ำพริก เป็นสมุนไพรพื้นบ้าน ไม่ได้สูบ กระท่อมก็เด็ดใบมากิน ยาเสพติดท้าให้ตรวจได้เลย

ส่วนที่พ่อบอกว่าไปลักทรัพย์นั้น น่าจะเป็นกรณีที่เราเปิดตู้เซฟเอาทรัพย์สินบางส่วนออกมาขาย พร้อมยืนยันว่า ไม่ได้ทำคุณไสยใส่แน่นอน นอกจากนี้ ยังประกาศด้วยว่า หมดรักแล้ว ตั้งแต่วันที่ถูกทำร้ายร่างกาย ถือเป็นครั้งที่สอง แต่คงจะไม่มีครั้งที่สามแล้ว พอแล้วชีวิตนี้ ขอจบดีกว่า

ด้านสามี นางสาวลักษณ์ ก่อนหน้านี้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า สามารถออกมาชี้แจงได้ทุกเรื่อง ทุกอย่างมีที่มา และรู้จักนิสัยภรรยาดี ยืนยันว่ายังรักภรรยามาก คนรอบข้างรู้ดีว่าตนไม่ได้เปลี่ยนไป ตลอดชีวิตที่มีภรรยามา รักคุณลักษณ์มากที่สุด หากต้องเลิกกันก็จะไม่ทิ้ง ส่วนที่ทำร้ายจนบาดเจ็บ เป็นเพราะบันดาลโทสะ เสียใจมากกับเหตุการณ์นั้น ล่าสุดคุยกับญาติของคุณลักษณ์แล้ว ว่าให้มาทำข้อตกลงการหย่า จะได้จากกันด้วยดี ตอนนี้ไม่ขอพูดอะไรมากกว่านี้ เพราะจะให้ทนายไปสู้ในชั้นศาล

...

นางสาวลักษณ์ บอกว่า ทุกครั้งที่มีปัญหา เขาก็พูดแบบนี้ อยากได้อะไรเอาไป แต่พออยู่ด้วยกันจริงๆ ก็ไม่ได้ให้ ที่บอกว่า 10 ข้อที่จะให้ ก็ไม่เคยให้ เช่น ธุรกิจ ทำแรกๆ ก็ให้โอนเข้าบัญชีเรา แต่พอทำอะไรไม่ถูกใจก็เอาคืน โอนเข้าบัญชีเขาแทน 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อยากได้ตอนนี้ คือ อยากได้รถ BMW ซีรีส์ 7 ที่เป็นชื่อเขา, บ้านที่สกลนคร ซึ่งตอนนี้เขาให้พ่อแม่เข้าไปอยู่ เนื่องจากลูกเราเรียนที่นั่น ไม่อยากย้ายโรงเรียน, ธุรกิจอาหารสัตว์ อีสานใต้ 10 จังหวัด ส่วนทางอีสานเหนือให้เขาเอาไป โดยแยกชื่อเลย และก็จะมีรายได้ของธุรกิจ ที่อยู่ระหว่างทนายดำเนินการอยู่ พร้อมยืนยัน สายน้ำไม่ไหลกลับแน่นอน.


ติดตามได้ในรายการเปิดปากกับภาคภูมิ เวลา 15.30 น. ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32