งานสัมมนา Thairath Forum 2023 ในหัวข้อ “Future Perfect เปิดมุมคิด พลิกอนาคต” สัปดาห์ก่อน เมื่อวันจันทร์ที่ 18 ก.ย. 2566 ที่ผ่านมา “ไทยรัฐ กรุ๊ป” ได้รับเกียรติจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง มาร่วมตอบข้อซักถามทิศทางการบริหารประเทศ

ภายหลังจากเข้ารับตำแหน่งและมีอำนาจเต็มในการบริหารประเทศ ณ เวลานั้น 7 วัน นับตั้งแต่วันที่ 11 ก.ย. 2566 ที่ได้แถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา

“ทีมเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ขอประมวลประเด็นต่างๆ ในแง่มุมเศรษฐกิจมาให้ท่านผู้อ่านได้ติดตามกันอีก เพื่อได้เห็นความชัดเจนว่า 4 ปีจากนี้ไป รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีท่านใหม่จะนำพาเศรษฐกิจของประเทศไทยไปสู่จุดหมายใด

ตั้งเป้าจีดีพีประเทศโตปีละ 5%

ในฐานะที่เป็นนักธุรกิจมาก่อน “เศรษฐา ทวีสิน” จึงตั้งเป้าในการทำงานอย่างชัดเจน เขาระบุในตอนหนึ่งว่า “การขยายตัวของเศรษฐกิจที่ 5% ที่เราตั้งเป้าไว้ว่าจะทำให้ได้ ถือเป็นหนึ่งตัวชี้วัดในการทำงานที่มองไว้ และยังต้องมองอีกหลายส่วน ทั้งระยะเวลา และประสิทธิภาพการทำงาน ตอนนี้สั่งการไปมีปัญหาอะไรกลับมาอย่างไร ถึงมาวัด KPI ได้ ซึ่งตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ก็เป็นหนึ่งในการวัด KPI”

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจของไทยภาพรวมยังไม่ค่อยดี ค่าใช้จ่ายสูง เงินในกระเป๋ามีน้อยลง สิ่งที่ผมได้จากการทำงานในภาคเอกชน คือ สิ่งที่ประชาชนเจออยู่ขณะนี้ ทั้งปัญหาปากท้อง เสรีภาพ และอื่นๆ

หากรัฐบาลทำอะไรได้ก่อนก็จะรีบทำ ไม่ต้องรอให้ครบทุกมิติ เพราะหากรอให้ครบทุกมิติอาจจะช้าเกินไป อะไรที่ทำได้อยากทำก่อน โดยเฉพาะนโยบายที่จะเป็นกำลังใจให้กับพี่น้องประชาชน ที่จะมีความหวังและช่วยแบ่งเบาภาระได้จะทำก่อน

เดินหน้าปรับลดราคาเบนซิน

นายกรัฐมนตรี ได้ยกตัวอย่างว่า สิ่งที่ทำไป คือ เรื่องลดค่าไฟ ลดราคาน้ำมันดีเซล ในส่วนนี้ยังไม่ครบ ยังจะต้องมีการปรับลดราคาน้ำมันเบนซิน แต่อาจต้องมีการพิจารณามากกว่า เพราะมีหลายๆ ส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ต้องพิจารณาภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบมากและมีรายได้น้อย ซึ่งจะมีมาตรการทยอยออกมาเรื่อยๆ

ส่วนกรณีค่าไฟลดลงมาถึง 4.10 บาทต่อหน่วยแล้ว มากกว่าที่ภาคอุตสาหกรรมต้องการ แต่จะทำต่อ โดยมีการเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยอาจจะมีการสั่งการในเรื่องนี้ลงไป โดยค่าไฟอยากให้ลดลงอีก หากเห็นเลข 3 เป็นเลขต้นก็จะดี ซึ่งมองว่าน่าจะทำได้ภายใน 2 สัปดาห์ แต่หาก ปตท.ให้ความกรุณาก็อาจจะทำได้เร็วขึ้น

“ผมเชื่อมั่นในศักยภาพข้าราชการ และรัฐวิสาหกิจว่า สามารถทำงานตอบสนองนโยบายได้อย่างดี ซึ่งผมเชื่อว่า รัฐวิสาหกิจต่างตระหนักดีถึงปัญหาพี่น้องประชาชน และความเร่งด่วนของปัญหาที่ต้องจัดการ และหากจำเป็นก็สามารถที่จะเร่งเวลาการทำงานให้สั้นลงได้”

คำกล่าวของนายกรัฐมนตรี ในงาน “ไทยรัฐ ฟอรัม 2023” จัดขึ้นในช่วงเช้า ตั้งแต่เวลา 09.00-10.30 น. ภายหลังจากนั้น นายกฯ ได้เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ในเวลา 11.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล และมติ ครม.ที่ออกมา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน รายงานว่า สามารถเจรจาลดค่าไฟฟ้าลงเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย โดยให้มีผลตั้งแต่งวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. 2566

“ดิจิทัล วอลเล็ต” เริ่ม ก.พ. 2567

นายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวถึงโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งคนทั้งประเทศติดตามว่า

“เมื่อลดรายจ่ายแล้ว การเพิ่มรายได้เป็นอีกทางที่จำเป็น ระยะสั้นที่จะทำออกมาให้เร็วที่สุด ไม่น่าเกินไตรมาสแรกของปีหน้า ซึ่งตรงนี้ทำแน่นอน เป็นการส่งเงินโดยตรงจากภาครัฐไปสู่ประชาชน โดยไม่ต้องกังวล รับรองได้ว่าไม่มีรั่วไหลเข้ากระเป๋าใครระหว่างทางเด็ดขาด”

ตรงนี้เราจะไม่มาถึงกันว่าเป็นนโยบายประชานิยมหรือไม่ เพราะหลายรัฐบาลก็มีการส่งเงินเข้ากระเป๋าประชาชน แต่สิ่งที่รัฐบาลทำนอกจากจะใส่เงินให้ประชาชน ยังพยายามตอบสนองความต้องการของท้องถิ่น

ดิจิทัล วอลเล็ต จะจำกัดพื้นที่ใช้ เช่น ในเมืองอาจจะ 4 กิโลเมตร แต่หากเป็นพื้นที่ห่างไกลอาจจะขยายออกไปบ้าง แต่จริงๆ อยากให้พี่น้องที่ทำงานในเมืองได้กลับไปเยี่ยมบ้านบ้าง ไปหาผู้หลักผู้ใหญ่ ผมว่าจะทำให้สถาบันครอบครัวเข้มแข็งขึ้นด้วย ซึ่งที่ผ่านมาเราอาจมองข้ามไป ซึ่งเราจะต้องไปดูทั้งพื้นที่ในการใช้ ระยะเวลาในการใช้ และสินค้าที่ใช้ได้ด้วย

“ยืนยันว่าเป็นการจ่ายครั้งเดียว 560,000 ล้านบาท เป็นการใช้ระบบบล็อกเชน และผมมองว่า เมื่อผู้ประกอบการเห็นนโยบายชัดแล้วว่า เงิน 560,000 ล้านบาท จะเข้าไปในระบบวันที่ 1 ก.พ.นี้

ก็จะต้องมีการจ้างแรงงาน มีการคิดแคมเปญการตลาด และเพิ่มสต๊อกสินค้าไว้เพื่อรองรับ ทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้เกิดขึ้นในวันที่ 1 ก.พ. แต่เกิดก่อนหน้านั้น”

พักหนี้เกษตรกร-รับมือเอลนีโญ

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า อีกนโยบายของการลดรายจ่ายของประชาชน คือ การพักหนี้เกษตรกร ที่ผ่านมารัฐบาลมีการพักหนี้ให้เกษตรกร 13 ครั้งใน 9 ปี แต่ก็เดือดร้อนอยู่ แสดงว่าภาพใหญ่ในระยะยาวไม่มีการดูแลที่ชัดเจน

โดยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ข้อคิดเห็นว่า หากพักหนี้เกษตรกรโดยไม่มีแผนงานระยะยาวที่จะช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรให้มีรายได้และอยู่ได้อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ในที่สุดก็ต้องกลับมาพักหนี้อีกไม่จบ

อย่างไรก็ตาม การพักหนี้ก็ยังจำเป็นอยู่และในระยะต่อไปอาจจะมีนโยบายแก้หนี้ในส่วนอื่นออกมาเพิ่ม เช่น การดูแลหนี้ส่วนบุคคล บัตรเครดิต โดยการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ระยะสั้น เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

ขณะที่ระยะยาวคือ ต้องเพิ่มรายได้เกษตรกรเป็นภาคส่วนสำคัญ ต้องมีการให้ความรู้แก่เกษตรกรอย่างเร็วที่สุด เพื่อแก้ปัญหาและเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ขณะนี้ไม่ว่าข้าวหรือยางพารา เราต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน

“รัฐบาลนี้จะไม่พูดเรื่องจำนำ ประกัน หรือจ้างผลิต มันเป็นวาทกรรม แต่เราจะพูดเรื่องการเพิ่มรายได้เกษตรกร การหาตลาดใหม่ๆ”

ส่วนสถานการณ์เอลนีโญ ยอมรับว่า สถานการณ์น้ำปีนี้น้อยกว่าที่ผ่านมา และหากจะไม่ให้เกษตรกรปลูกข้าวก็ต้องหาพืชที่จะปลูกทดแทน เช่น ถั่วเหลือง แต่หากไม่ทำตามจะปลูกให้ได้ ก็ต้องมีการบริหารจัดการน้ำให้ดี โดยน้ำเพื่อการบริโภค น้ำใช้ และน้ำสำหรับภาคอุตสาหกรรม ไม่ขาดแคลนแน่นอน

แต่ในภาคเกษตรท้องถิ่น ถ้ามีงบต้องรีบดำเนินการทันที ทั้งทำฝาย ขุดลอกคลอง โดยได้พูดคุยกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งมีอุปกรณ์ และทหารพัฒนา ทั้ง 2 ท่านก็พร้อมช่วยดูแลป้องกันภัยแล้งที่เกิดขึ้น

รุกสร้างรายได้เข้าประเทศ

สำหรับการหารายได้เข้าประเทศ โดยเฉพาะการหารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ดูจะเป็นเรื่องที่รัฐบาล “เศรษฐา” ให้ความสำคัญในอันดับแรก จากการกำหนดให้ผู้ที่ถือหนังสือเดินทางของสาธารณรัฐประชาชนจีน และสาธารณรัฐคาซัคสถาน ได้รับการยกเว้นตรวจลงตรา ความหมาย คือ ไม่ต้องยื่นขอวีซ่าเข้าประเทศไทยล่วงหน้า และให้อยู่ในประเทศไทยได้ไม่เกิน 30 วัน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. 2566-29 ก.พ. 2567

ในเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวบนเวที “ไทยรัฐ ฟอรัม 2023” ว่า กรณีวีซ่า-ฟรี ถือว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน เพราะไม่ถึง 2 สัปดาห์ก็เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นแล้ว ถ้าไม่ทำการวางแผนมาเที่ยวของนักท่องเที่ยวก็จะไม่มีผลเท่าไร ซึ่งรัฐบาลเองไม่ได้มองแค่มิติเดียว

แต่มองตลอดระยะเวลาการเดินทาง ตั้งแต่เข้าเมือง ตรวจคนเข้าเมืองเป็นอย่างไร จะต้องไม่รอกระเป๋านานเกินไป ก้าวแรกที่นักท่องเที่ยวเข้ามาต้องประทับใจเลย รวมถึงได้มีการพูดคุยกับสายการบินเพื่อเพิ่มขนาดเครื่องบิน เพิ่มเที่ยวบิน

การเพิ่มการท่องเที่ยวถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เร็วที่สุด และเท่าที่คุยกับผู้ประกอบการพบว่ายอดจองที่พักเพิ่มขึ้นแล้ว ในขณะที่ประเด็นเรื่องความมั่นคง และทุนสีเทาที่จะตามมาหลังฟรีวีซ่าจีน ทางฝ่ายความมั่นคงรู้ว่าจะต้องมีการบริหารจัดการให้ดี

“ทุนสีเทาเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่แล้วก็ต้องแก้กันไป ไม่ใช่ไม่แก้ แต่ไม่ได้หมายความว่าทำนโยบายดีๆ เพิ่มเติมไม่ได้”

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เมื่อมีวีซ่า-ฟรี เป็นสารตั้งต้นแล้ว เราก็ต้องปลดล็อกปัญหาการท่องเที่ยวให้ได้ทั้งระบบ อย่างจีนเป็นวีซ่า-ฟรี ซึ่งคาดว่าจะทำให้มีเงินเข้ามาเพิ่มขึ้นเฉพาะจากการท่องเที่ยวประมาณ 35,000 ล้านบาท ยังไม่นับคนที่จะมาซื้อของในประเทศ

ขณะที่นักท่องเที่ยวอินเดีย ก็เป็นอีกชาติที่ใช้จ่ายสูงมาก แต่อินเดียวีซ่า-ฟรีไม่ได้ ก็ต้องกระตุ้นผ่านช่องทางอื่น เช่น หาทางลดภาษีศุลกากรสำหรับเครื่องประดับที่นำเข้ามาแล้วนำกลับออกไป ในกรณีนี้สำหรับชาวอินเดียที่นิยมเข้ามาจัดงานแต่งงานในเมืองไทย เวลามาทีเป็นคณะใหญ่และใช้เงินนับ 10 ล้านบาท

ดึงการลงทุนจากต่างประเทศ

การส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ถือเป็นนโยบายสำคัญเพื่อยกระดับเศรษฐกิจในขยายตัวได้ โดยในโอกาสที่จะเดินทางไปเข้าร่วมการประชุม UNGA78 ที่สหรัฐฯ ระหว่างวันที่ 19-23 ก.ย. 2566 ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ได้มีการพูดคุยเรื่องจับคู่ธุรกิจ กับหลายบริษัท เช่น เทสลา กูเกิล ไมโครซอฟท์ เอสเต ลอเดอร์ กองทุนแบล็คร็อค

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปยังสหรัฐฯ ได้พูดถึงเรื่องดังกล่าวบนเวที “ไทยรัฐ ฟอรัม 2023” ไว้ว่า ประเทศไทยมีจุดแข็งทั้งในเรื่องทำเลที่ตั้ง ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งสนามบิน ท่าเรือ ความพร้อมของกฎหมาย และรัฐบาลพยายามปรับปรุงให้เอื้อต่อการลงทุนมากขึ้น ภาคเอกชนไทยแข็งแกร่ง โดยจะเน้นย้ำให้ต่างประเทศเห็นถึงความพร้อมของไทย โดยเฉพาะความสะดวกสบายในการอยู่อาศัยของคนที่เข้ามาทำงาน ทั้งการเป็นประเทศที่มีระบบรักษาพยาบาลที่ดีระดับโลก และมีโรงเรียนนานาชาติระดับสากล ซึ่งเป็นความพร้อมที่ถูกซ่อนไว้ แต่นักลงทุนต้องการมาก

จับตาปีใหม่ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

นอกจากนี้ มีเนื้อหาที่กล่าวถึงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ซึ่งเป็นเป้าหมายที่จะทำให้เกิดขึ้นภายในรัฐบาลชุดนี้ บนพื้นฐานที่ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเฉลี่ยปีละ 5%

อย่างไรก็ตาม มีคำถามว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งแรกของรัฐบาลชุดนี้ ที่วันละ 400 บาทจะได้เห็นหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะต้องมีการดูให้เหมาะสม คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเดือน พ.ย. 2566 ว่า ค่าแรงที่จะเริ่มในวันปีใหม่จะออกมาเป็นเท่าไร จะต้องดูตามความเหมาะสม เพราะหลายภาคส่วนก็ให้ค่าแรงมากกว่าขั้นต่ำอยู่แล้ว โดยต้องมองให้ครบทุกมิติ รัฐบาลเข้าใจ และขอรับข้อมูลให้ครบทุกส่วนก่อน เพราะภาคเอกชนก็สำคัญ เพื่อได้สั่งการอย่างเหมาะสม และมีแผนที่ชัดเจนออกมา

ส่วนเรื่องค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า ให้ทำภายใน 3 เดือนอาจจะยาก แต่ได้เริ่มดำเนินการแล้ว วันนี้เราทำทันที โดยได้พูดคุยกับนักกฎหมาย แต่จากปัญหาสะสมมานาน ทั้งเรื่องค้างค่าใช้จ่ายกับภาคเอกชน การประมูลสายสีส้ม การเชื่อมต่อระบบ การใช้ตั๋วใบเดียว อาจจะต้องใช้เวลา

ส่วนประเด็นแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ได้มีการพูดคุยกับอธิบดีกรมสรรพสามิตคนใหม่ ทั้งในเรื่องภาษีที่ดิน ภาษีโรงเรือน ภาษีมรดก ภาษีลดความเหลื่อมล้ำอื่นๆ ให้ไปดูมาว่าจะทำอย่างไร ซึ่งภาษีมรดกเก็บได้ประมาณ 200 ล้านบาทต่อปี เป็นการเก็บแบบเชิงสัญลักษณ์มากไปนิด หลักการของภาษี คือ มีรายได้มาก็ต้องจ่ายภาษี และจ่ายในอัตราที่เหมาะสม ส่วนกรณีมีการลงทุนในต่างประเทศ ถ้านำเงินกลับเข้ามาต้องเสียภาษี เริ่มต้นวันที่ 1 ม.ค. 2567

การดูแลเรื่องความเหลื่อมล้ำ รัฐบาลจะมีออกมาเรื่อยๆ โดยยึดหลักว่าต้องตอบโจทย์และยุติธรรมกับทุกฝ่าย

ทั้งหมดนี้ เป็นเนื้อหา สาระ และประเด็นที่เกิดขึ้นบนเวที “ไทยรัฐ ฟอรัม 2023”.

ทีมเศรษฐกิจ