เมื่อสายๆวันอังคารที่ผ่านมานี้เอง สำนักข่าวออนไลน์ทุกสำนักรายงานว่า ตั้งแต่วันพุธที่ 20 กันยายน 2566 เป็นต้นไป ราคาน้ำมันดีเซลจะลดลงเหลือ 30 บาทต่อลิตร จากเดิม 32 บาทต่อลิตร ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม หรือสิ้นปี 2566 รวมเวลา 3 เดือนเศษๆจากนี้ไป
ทั้งนี้ เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อ 13 กันยายน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ให้แก่ประชาชนตามที่กระทรวงพลังงานเสนอที่จะใช้กลไกภาษีสรรพสามิต และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบริหารจัดการเพื่อตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตรดังกล่าว
ซึ่งก็คือการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลง 2.50 บาทต่อลิตรนั่นเอง
สำนักข่าวบางสำนักใช้คำพาดหัวว่า “ข่าวดี” สำหรับประชาชนผู้ใช้น้ำมันดีเซล ที่รัฐบาลช่วยลดราคาลงมาให้อีกลิตรละ 2 บาท ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและลดค่าครองชีพของประชาชนได้พอสมควร
บรรดารถบรรทุก รถขนส่งต่างๆ อาจลดราคาค่าขนส่งลงได้อีกหน่อยหนึ่ง หรือไม่ก็จะไม่เพิ่มขึ้นทำให้ราคาสินค้าต้องแพงขึ้นไปอีก
กลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องใช้ดีเซลเป็นต้นทุนในการผลิต และการขนส่งก็จะบรรเทาความเดือดร้อนลง และมีกำลังใจที่จะทำมาค้าขายเพิ่มรายได้ ตลอดจนสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจได้ต่อไป
แต่ประเด็นหลักที่ผู้ใช้น้ำมันดีเซลจะต้องคำนึงควบคู่ไปด้วยก็คือว่า โลกเราทุกวันนี้ไม่มีอะไรฟรี การที่ต้องตรึงราคาดีเซลหรือลดลงไปอีกหน่อยหนึ่งนั้น รัฐบาลเองก็ต้องเสียสละและมีค่าใช้จ่ายจำนวนไม่น้อย
ตัวเลขปัจจุบัน (ณ วันที่ 19 ก.ย.) กองทุนน้ำมันมีการอุดหนุนราคาดีเซลอยู่ที่ลิตรละ 8.98 บาท ซึ่งถือเป็นอัตราการอุดหนุนที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากราคาดีเซลในตลาดโลกมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
...
ณ วันที่ 17 ก.ย.66 หรือเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา กองทุนน้ำมันติดลบอยู่ที่ 61,641 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 16,902 ล้านบาท และบัญชีก๊าซปิโตรเลียมเหลวหรือ LPG ติดลบ 44,739 ล้านบาท
แปลว่าที่ผ่านมา เงินกองทุนน้ำมันส่วนที่มาสนับสนุนน้ำมันดีเซลนั้นติดลบอยู่แล้ว จะติดลบมากขึ้นอีกหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะเป็นอย่างไร แต่จากรายงานของกระทรวงพลังงานแจ้งว่า ได้มีการกู้เงินในกรอบวงเงินกู้สาธารณะสำหรับกองทุนน้ำมันไว้แล้ว 1.1 แสนล้านบาท ยังเหลืออีกราวๆ 5 หมื่นล้านบาท ที่จะดูแลดีเซล 30 บาทต่อลิตร และตรึง LPG ตามมติ ครม.ได้จนถึงสิ้นปี
ผมก็ได้แต่หวังว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะไม่พุ่งกระฉูดขึ้นไปอีก เพราะถึงแม้เราจะมีเงินกู้สำรองเหลืออยู่ แต่ถ้าน้ำมันยังพุ่งไม่หยุด เผลอๆ เงินกู้ที่ว่ายังเหลือ 5 หมื่นล้านบาท ก็อาจจะร่อยหรอลงไปอีก
ซึ่งเมื่อเป็นเงินกู้สาธารณะเสียแล้ว ก็จำเป็นจะต้องตั้งงบประมาณมาชดใช้ในอนาคต ไม่ใช่ว่าจะเป็นเงินที่นำมาใช้จ่ายฟรีๆได้แต่อย่างใด
ผมก็คงต้องฝากพี่น้องประชาชนผู้ใช้น้ำมันดีเซลทั้งหลายว่า อย่าถือเป็นข่าวดีจนเกินเหตุที่ราคาดีเซลลดไปเหลือ 30 บาทในขณะนี้
ขอให้ถือเสียว่ารัฐบาลหรือภาครัฐท่านยอมเสียสละให้ โดยเชือดเนื้อส่วนอื่นมาโปะให้ในส่วนนี้ เพราะเล็งเห็นถึงความเดือดร้อนของท่าน
หวังว่าท่านทั้งหลายจะใช้ดีเซลราคาที่ถูกลงนี้อย่างประหยัดอย่างพอสมควรแก่เหตุ เช่น ใช้ตามความจำเป็น หรือใช้เพื่อการลงทุน เพื่อการขนส่งสินค้าต่างๆเท่านั้น...อย่าเอาไปใช้แบบบันเทิงเริงรมย์เป็นอันขาด
โดยส่วนตัวผมไม่ถือว่าการตรึงราคาน้ำมันดีเซลหรือค่าไฟฟ้าไว้ระยะหนึ่ง เป็นเรื่อง “ประชานิยม” แต่เป็นเรื่องที่จะช่วยผ่อนภาระและบรรเทาความเดือดร้อนประชาชน ซึ่งประชาชนจะต้องรับรู้ข้อเท็จจริงในข้อนี้ไว้ด้วยว่าทุกอย่างมีต้นทุนทั้งสิ้น
ณ วันที่ผมเขียนต้นฉบับราคาน้ำมันในตลาดโลกก็ยังพุ่งขึ้นไปอีก โดยราคาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา น้ำมันดิบที่นิวยอร์กขึ้นไปเป็นบาร์เรลละ 91 เหรียญ 48 เซนต์แล้ว ส่วนที่ลอนดอนก็ขึ้นไปถึง 93 เหรียญกับ 43 เซนต์ เป็นราคาสูงสุดในรอบ 10 เดือน
ไม่แน่ใจว่าจะขึ้นไปอีกหรือไม่ เพราะคำประกาศของกลุ่มโอเปก+ รัสเซียที่จะคงนโยบายการผลิตที่ลดลงวันละ 1 ล้านกว่าบาร์เรลต่อไปจนถึงสิ้นปีนั้น ได้เขย่าขวัญชาวโลกทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นมาจนถึงบัดนี้
ของโลกราคาขึ้น ในขณะที่ของเราพยายามตรึงราคามันผิดหลักเศรษฐศาสตร์...เพราะฉะนั้นต้องใช้น้ำมันอย่างประหยัดสุดขีดนะครับพ่อแม่พี่น้องผู้ใช้รถดีเซลที่ถูกหวยได้รับของขวัญจากรัฐบาลงวดนี้.
“ซูม”
คลิกอ่านคอลัมน์ "เหะหะพาที" เพิ่มเติม