เพื่อนรักทำแสบ โดนตำรวจจับเสพยาแล้วขับรถ กลับแอบอ้างชื่อเพื่อน ขอยืมบัตรประชาชนมาสวมสิทธิ์ จนเพื่อนกลายเป็นแพะติดคุกฟรีเกือบ 3 เดือน

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 30 สิงหาคม 2566 ในรายการ "เปิดปากกับภาคภูมิ" ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32 ดำเนินรายการโดย นายภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ ได้พูดคุยกับพ่อแม่ผู้เสียหาย และ นายนิรันดร์ แกแง้ว ผู้ร่วมก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ถึงกรณี หนุ่มถูกจับเป็นแพะ หลังเพื่อนรักเอาบัตรประชาชนไปใช้แสดงตัว จนถูกตำรวจออกหมายจับ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด ซึ่าผู้ก่อเหตุตัวจริงยังทำศัลยกรรม

โดย แม่ของผู้เสียหาย เปิดเผยว่า "โจ๊ก" ซึ่งเป็นลูกชายเข้าไปอยู่ในเรือนจำ 80 วัน หรือประมาณเกือบ 3 เดือน ตั้งแต่เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ที่ผ่านมา ลูกชายโทร. มาหาช่วงบ่ายว่า โดนตำรวจจับที่ทำงาน ตำรวจบอกว่าหนีหมายศาลในคดีเสพยาเสพติดแล้วขับรถ ซึ่งลูกชายยืนยันว่า ไม่ได้ทำ และให้พ่อกับพี่ไปหาที่ศาล แต่ด้วยระยะทางจากบ้านไปศาลค่อนข้างไกล ทำให้ไปไม่ทัน ลูกชายถูกส่งไปเรือนจำแล้ว ต้องทำเรื่องยื่นขอประกันตัวในวันพรุ่งนี้

ด้าน พ่อผู้เสียหาย กล่าวว่า ที่ผ่านมาลูกชายไม่เคยโดนคดีความ ทำงานและอยู่บ้านตลอด เป็นเสาหลักของครอบครัว จึงเชื่อว่าลูกไม่ได้ทำ แต่ยื่นขอประกันตัวไป 7 ครั้งแต่ไม่สามารถประกันตัวได้ เพราะเป็นการหนีหมายศาล 

แม่ผู้เสียหาย กล่าวอีกว่า ทนายได้ขอคัดสำนวน แล้วเอารูปผู้ต้องหามาให้ดู ตนเห็นแล้วก็บอกว่าไม่ใช่ลูกชาย แต่เป็น "ภูวดล" ซึ่งเป็นเพื่อนของลูกชาย เรียนมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ซึ่งปัจจุบันเพื่อนของลูกคนนี้ได้ศัลยกรรมแล้ว หลังเกิดเรื่องตนได้ถามเพื่อนคนอื่นๆ ทางเพื่อนลูกก็ติดต่อไปหาภูวดล แล้วมาเล่าให้ฟังว่า ภูวดล ทราบเรื่องแล้วแต่บอกว่า จะให้เขาทำยังไง 

...

สำหรับเรื่องดังกล่าวเกิดจากช่วงวันที่ 23 สิงหาคม 2563 นายภูวดล ขับรถไปไม่ติดป้ายทะเบียนแล้วตำรวจเรียกตรวจค้น มีการตรวจปัสสาวะแล้วเจอสารเสพติด ตำรวจเลยแจ้งข้อหาไว้ ซึ่งวันนั้นภูวดลทักแชตมาหาลูกว่าขอยืมบัตรประชาชนไปประกันตัว ซึ่งโจ๊กก็ไม่อยากให้ จนกระทั่งประมาณ 5 โมง แม่ของภูวดลได้โทร. มาขอบัตรประชาชน แต่สุดท้ายก็ต้องให้ ซึ่งตนเพิ่งมารู้เรื่องนี้หลังจากเกิดเรื่องแล้ว หลังเกิดเรื่องฝ่ายเราก็พยายามติดต่อไปหาแม่ของภูวดลแต่เขาไม่รับสาย 

ด้านนายนิรันดร์ แกแง้ว ผู้ร่วมก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เปิดเผยว่า ภูวดลยืมบัตรของโจ๊กไปสวมสิทธิ์แทน เหมือนเอาบัตรประชาชนไปแอบอ้างว่าเป็นตัวเอง เพราะในวันที่ถูกจับกุม นายภูวดลก็เอาชื่อของโจ๊กไปแอบอ้างด้วย ทำให้โจ๊กกลายเป็นผู้ต้องหา ยอมรับว่า รูปในบัตรของทั้ง 2 คนมีรูปพรรณสัณฐานคล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกันเป๊ะ  

ในขั้นตอนการช่วยเหลือหลังจากสอบถามจนครบกระบวนการว่าเหตุเกิดอย่างไรก็พบจุดสังเกตว่า มีการปั๊มลายนิ้วมือ วันที่ภูวดลถูกจับเขาถูกปั๊มลายนิ้วมือ ซึ่งวันที่โจ๊กโดนจับก็มีการปั๊มลายนิ้วมือ แต่ไม่ได้นำมาเทียบกัน จึงประสานขอให้ตรวจสอบลายนิ้วมือของโจ๊ก กับ ภูวดล ซึ่งปรากฏว่าต่างกันโดยสิ้นเชิง และทำเรื่องขอเพิกถอนที่เรือนจำพิเศษ ซึ่งจุดนี้ทำให้คดีนี้ได้รับความยุติธรรม

พ่อผู้เสียหาย กล่าวอีกว่า ตอนแรกไม่คิดว่าจะประกันตัวได้ยากขนาดนี้ และไม่อยากเป็นข่าว แต่สุดท้ายผ่านไป 7 ครั้งเลยมาพึ่งทางสายไหมต้องรอด ก่อนหน้านี้ลูกชายอยากจะสารภาพเพื่อให้เรื่องจบ จะได้รู้วันที่ออก แต่ครอบครัวก็บอกว่า อย่าสารภาพเพราะเราไม่ได้ทำผิด แล้วคนทำผิดจริงๆ ก็ไม่ได้รับโทษ แต่ลูกชายก็ไม่ไหวแล้ว เขาอยู่ในนั้นแล้วเครียด เขาอยากจะสารภาพแล้ว

หลังจากออกมาแล้ว เขาก็กลัวคนอื่นเดือดร้อน กลัวเพื่อนเดือดร้อน ปัจจุบันเขาก็ยังกลัวว่าจะต้องขึ้นศาลอีก เขากลัวว่าเรื่องจะไม่จบ ต้องกลับไปเข้ากระบวนการนั้นอีก ซึ่งตนก็อยากให้เรื่องของลูกชายเป็นอุทาหรณ์ ไม่อยากให้เกิดกับใครอีก.