สังคมไทยยังเป็นกังวลกับ “กาสิโน ถูกกฎหมาย” ที่กำลังถูกสร้างค่านิยมใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุนเชิงท่องเที่ยว “อันมีภาครัฐมีส่วนผลักดันเปิดให้ถูกกฎหมาย” เป็นแหล่งรายได้ใหม่เข้าประเทศ
นับแต่ “สภาผู้แทนราษฎร” เห็นชอบรายงานของ กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร (Entertainment Complex) ที่เสนอให้มีการเปิดกาสิโนแบบออฟไลน์ และการพนันออนไลน์ 8 รูปแบบ ทั้งเร่งตั้งไว้ใน 3 พื้นที่หลัก คือ กทม.เขตอีอีซี จังหวัดชายแดนมีด่าน ตม.และเมืองท่องเที่ยว 22 จังหวัด
ท่ามกลางข้อกังขาความกังวลจาก “สังคม” ที่เกี่ยวกับความพร้อมในรายละเอียดการควบคุมดูแลด้านกฎหมาย สังคม การป้องกันอาชญากรรม การฟอกเงิน เรื่องนี้สะท้อนผ่าน ธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน บอกว่า ปัจจุบันกระแสหลักความคิดสังคมนิยมต่างพากันเรียกร้องให้การพนันถูกกฎหมายมากขึ้น
แต่เรื่องนี้ต้องใคร่ครวญให้ดี “ด้วยการพนันไม่ใช่สินค้าบริโภคกินอิ่มแล้วหยุดเหมือนข้าว” สิ่งนี้กลับเป็นสินค้าเล่นกับความรู้สึกของมนุษย์ “อยากได้รางวัล” ทำให้ไม่อาจหยุดเล่นได้โดยง่ายก่อผลกระทบทางลบสูง
...
ยิ่งกว่านั้นคือ “การพนันกลับเป็นสิ่งเสพติด” ทำให้คนในสังคมกำลังก้าวไปสู่การเผชิญของโอกาสติดการพนันเป็นล้านๆคน ดังนั้นการทำให้ถูกกฎหมายอาจจะยิ่งมีผลกระทบต่อสังคมรุนแรงที่เรียกว่า “สินค้านำสู่การเมาที่มองไม่เห็น” เพราะด้วยการพนันมักเห็นปัญหาก็ต่อเมื่อเริ่มเดือดร้อนไม่มีเงินแล้ว
ถัดมาปัจจุบันนี้ “ประเทศไทยมีกิจการสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นทุนผูกขาด” ในเรื่องนี้ฝ่ายการเมืองมองว่า “การพนันถูกกฎหมายจะเข้ามาทำลายทุนผูกขาดนี้ได้” แต่กำลังมองข้ามสิ่งที่จะตามมาคือ “ก่อให้เกิดผู้ประกอบการรายใหม่มากราย” ที่เป็นการขยายเพิ่มจำนวนของการพนันมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
กลายเป็นว่า “กำจัดทุนผูกขาดสำเร็จแต่ขยายผู้ประกอบการใหม่” ส่งผลกระทบต่อสังคมมากยิ่งขึ้นหรือไม่ ดังนั้นการจะทำให้การพนันถูกกฎหมายได้นั้น “ต้องมีมาตรการควบคุม” ไม่ใช่มีเพียงแค่กำกับดูแลเท่านั้น เพราะสิ่งนี้เป็นกิจการสีเทาโดยธรรมชาติมักเอาเปรียบ “ผู้เล่น” ที่เปรียบเสมือนเสือที่ไล่กัดคนได้ตลอดเวลา
ดังนั้นหากต้องการนำ “เสือมาโชว์สร้างรายได้” ต้องมั่นใจก่อนว่ากรงเสือแข็งแรงพอ และผู้ควบคุมควรสร้างให้เกิดความเชื่อมั่นสามารถจัดการได้จริง เพราะที่ผ่านมาองค์กรกำกับดูแลการพนันค่อนข้างล้มเหลวมาก แม้แต่ พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 ก็เป็นกฎหมายเก่าที่สุด จนเป็นปัญหาช่วงห่างไม่ทันต่อรูปแบบการพนันที่เปลี่ยนไป
ถ้าเทียบกับ “ประเทศเปิดกาสิโนถูกกฎหมาย” ส่วนใหญ่มีกฎหมายแยกตามชนิดของการพนันจนสามารถควบคุมทั่วถึงอย่างเช่น “สิงคโปร์” ตั้งหน่วยงานเฉพาะทำหน้าที่เตรียมการล่วงหน้าก่อนเปิดกาสิโน 5 ปี
ทว่าแนวคิดของฝ่ายการเมืองที่มุ่งเป้า “เปิดกาสิโนเพื่อหวังภาษีบาป” ด้วยการนำเงินจากธุรกิจใต้ดินมาใช้นั้น “เป็นวิธีการของเจ้าพ่อ” ในการสร้างความอ่อนให้ผู้คนในสังคมแล้วอุปถัมภ์เงินให้กับจุดอ่อนดังกล่าวที่เรียกว่า “แนวคิดเอาเงินบาปมาสร้างบุญ” ฉะนั้นวิธีการลักษณะแบบนี้ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
“อย่ากระดี๊กระด๊าดีใจว่ากาสิโนจะเก็บภาษีได้เยอะเพราะเป็นภาพย้อนแย้งใจอย่างกิจการส่งเงินเข้ารัฐมากสุดคือสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นเงินภาษีจากการซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำ และดูดเงินจากคนจำนวนมากสู่กระเป๋าเจ้ามือ หรือคนจำนวนน้อยชนะพนัน กลายเป็นขจัดปัญหาเรื่องหนึ่งแต่ขยายปัญหากระทบสังคมมากขึ้น” ธนากร ว่า
...
แตกต่างจากกรณี “การจัดสรรรายได้จากลอตเตอรี่ของสหราชอาณาจักร” มีการแบ่งสัดส่วนเงินรางวัล 50% เพื่อสาธารณประโยชน์ในรูปแบบกองทุน 28% ทั้งด้านสุขภาพ การศึกษา สิ่งแวดล้อม กีฬา ศิลปวัฒนธรรม และมรดกของชาติ รวมถึงองค์กรชุมชน องค์กรอาสาสมัคร และองค์กรสาธารณกุศล
ลักษณะเป็นการให้เงินคืนสู่ “สังคม” เพื่อให้เกิดความแข็งแรง ทั้งยังนำเงินเก็บภาษีเข้ารัฐ 12% จ่ายบริษัทเอกชนบริหาร 5% และผู้ค้ารายย่อย 5% แตกต่างจากประเทศไทยแบ่งเป็นเงินรางวัล 60% นำเงินเข้ารัฐ 23% และผู้ค้ารายย่อย 17% ส่วนการคืนเงินสู่สังคมก็ใช้เงินทุนแบบ “เจ้าพ่อ” อุปถัมภ์ให้คนอ่อนแออยู่ใต้อาณัติของตัวเอง
สำหรับในเวทีเสวนา “การพนันถูกกฎหมาย : ในกระแสเสรีนิยม” ที่จัดโดยศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน และ สสส.ครั้งนี้ฝากทิ้งท้ายกรณีมีกิจการการพนันถูกกฎหมายด้วย “หลัก 5 ย.” กล่าวคือ 1.ต้องวางเงื่อนไขให้การพนันเกิดขึ้นยาก และตายง่าย เมื่อกระทำผิดเงื่อนไขต้องล้มถาวรห้ามเกิดขึ้นใหม่
...
ต่อมา 2.ไม่เยอะเกินไป จำกัดทั้งผู้ประกอบการ และจำนวนผู้เข้าเล่น 3.ไม่ยั้วเยี้ย ต้องอยู่เป็นที่เป็นทางห่างจากชุมชนไม่ให้เข้าถึงง่าย 4.ยั่วยุ ไม่โฆษณาผ่านสื่อยกเว้นโฆษณาในที่ตั้งและ 5.ยุ่ง ต้องไม่ยุ่งกับเด็ก
เช่นเดียวกับ นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข บอกว่า สำหรับเรื่อง “5 ย.” อันที่จริงก็มาจากองค์ความรู้เกี่ยวกับการทำงานของสมองอย่างเช่น “ย.5 ไม่ควรยุ่งกับเด็ก” เพราะเป็นช่วงวัยของสมองส่วนคิดอยาก...ที่กำลังเติบโตพัฒนาอยู่ในระยะอายุ 12-25 ปี
แต่หากในระหว่างนี้ “เกิดกระตุ้นจากกิจกรรมการพนันก็ยิ่งส่งผลกระทบอยากเล่นได้ง่ายขึ้น” อย่างกรณีสมัยก่อนยังไม่มีกฎหมายห้ามโฆษณาเบียร์ปรากฏว่า “เยาวชนหันมาเสพเยอะมาก” สะท้อนให้เห็นว่าหากมีการยั่วยุเข้าถึงเยาวชนได้ง่ายโดยไม่มีระบบควบคุมแล้วไซร้ ย่อมทำให้อัตราการเสพติดเยาวชนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้ “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ที่จะมีกิจการพนันจำเป็นต้องมีการควบคุมไม่ให้ไป “กระทบเด็ก และเยาวชน” อันเป็นช่วงวัยที่สมองส่วนคิดยังไม่เติบโตเต็มวัยจนกว่าจะถึงอายุ 25 ปีขึ้นไป
...
ตอกย้ำด้วยช่วง 20 ปีมานี้ “วงการแพทย์ค้นพบพฤติกรรมเสพติดการพนัน” ลักษณะพฤติกรรมชอบพูดโกหก ลักขโมย ก้าวร้าว ชอบใช้ความรุนแรง และนำของมีค่าไปขายให้ได้เงินมาเล่นการพนัน สิ่งนี้ล้วนเป็นพฤติกรรมพื้นฐานการเสพติด “อันเกิดจากสมองส่วนอยากเล่น” ถูกกระตุ้นไปควบคุมสมองส่วนคิดมากเกินไป
จนกระทั่ง “องค์การอนามัยโลก” นำเสนอให้การเสพติดเป็นการเจ็บป่วยทางจิตใจที่เกิดจากความผิดปกติทางสมอง “บรรจุภาวะติดการพนัน และการติดเกมเข้าอยู่ในหมวดการเสพติด” เพื่อให้ได้รับสิทธิ์สวัสดิการการวินิจฉัยเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา ตามระบบประกันสุขภาพให้ต้องดูแลเหมือนกับโรคอื่นๆ
เช่นนี้ย้ำว่า “การมีกาสิโนถูกกฎหมายในประเทศ” จึงต้องมีระบบทางสังคมที่แข็งแกร่งในการควบคุมดูแลไม่ให้ประชาชนเข้าไปใช้บริการมากเกินไป ด้วยการห้ามมีการโฆษณาเหมือนดังกรณี “เหล้า และบุหรี่” เพราะด้วยอย่างที่บอกไปแล้ววัยรุ่นอายุ 12-25 ปีเป็นช่วงสมองยังพัฒนาไม่สมบูรณ์เต็มที่ในการตัดสินใจ
ทำให้มีโอกาสเสพติดการพนันได้ง่ายที่สุด “ต้องควบคุมติดตามให้ดี” เช่นไม่ควรให้คนหนุ่มสาวเข้าสัมผัสเล่นการพนัน นอกจากนี้ยัง “ต้องมีระบบดูแลช่วยเหลือที่ดี” ตั้งแต่เริ่มเสี่ยงเสพติดเล่นพนันจากการใช้เงินมากขึ้น เสียงาน อดหลับอดนอน และไม่อาจควบคุมตัวเองไม่ให้เล่นได้ ลักษณะนี้ต้องมีระบบช่วยเหลือบำบัดในทันที
ตามที่เคยไปศึกษาดูงาน “ประเทศสิงคโปร์” ก็มีระบบบำบัดดูแลคนติดการพนันนี้เช่นกัน
สิ่งสำคัญ “ต้องมีระบบการศึกษาที่ดี” ด้วยปัจจุบันเกิดเว็บไซต์การพนันขึ้นมากมาย ทำให้ต้องสร้างการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพ “สามารถคิดวิเคราะห์” เพื่อให้มีวิจารณญาณในการตัดสินใจ และมีทักษะชีวิตที่รู้เท่าทันการพนัน “ลักษณะการศึกษาแบบแอ็กทีฟเลิร์นนิ่ง” ที่ประเทศไทยยังขาดเรื่องนี้มากมายด้วยซ้ำ
ส่งผลทำให้ “การพนันที่จะถูกกฎหมายนั้น” เรากลับไม่เห็นมีสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นตรงนี้เลย
ฉะนั้นก่อน “ประเทศไทยจะมีกาสิโน” ยังมีประเด็นให้ต้องเร่งดำเนินการอีกมากมาย โดยเฉพาะการปราบปรามการคอร์รัปชันที่เป็นปัญหาท้าทายให้รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยอยู่ตลอดนี้.