"เปิดปากกับภาคภูมิ" วิเคราะห์คดี "แอม" สาวที่คาดว่าใช้ไซยาไนด์ แพทย์เผยผู้เสียชีวิตเผาศพแล้ว จะสามารถเชื่อมโยง เอาผิดผู้ต้องหาได้หรือไม่
กรณีชุดสืบสวนกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เข้าสืบสวนคลี่คลายคดีการเสียชีวิต น.ส.ศิริพร หรือ ก้อย ขันวงษ์ อายุ 32 ปี เท้าแชร์สาวชาว จ.กาญจนบุรี เบื้องต้นพบเป็นลมวูบดับปริศนาขณะเดินทางไปปล่อยปลากับนางสรารัตน์ หรือ แอม รังสิวุฒาภรณ์ อายุ 36 ปี อดีตภรรยานายตำรวจระดับรอง ผกก. ในพื้นที่ จ.ราชบุรี บริเวณท่าน้ำแม่น้ำแม่กลอง พื้นที่ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี แต่ญาติติดใจการเสียชีวิต เข้าร้องทุกข์ตำรวจกองปราบปรามช่วยตรวจสอบความผิดปกติ นำศพชันสูตรที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ พบสารไซยาไนด์ในร่างกาย เป็นที่มาของการรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลออกหมายจับ นางสรารัตน์ ข้อหาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน นอกจากนี้ ชุดสืบสวนยังตรวจสอบเพิ่มเติม พบมีเหยื่อเข้าข่ายการถูกวางยาฆาตกรรมอีก 10 คน รอดชีวิตมาได้ 1 คน หลังถูกจับกุมดำเนินคดี ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ ขอสู้คดีตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ซึ่งวันนี้ในรายการ "เปิดปากกับภาคภูมิ" พูดคุยในประเด็นคดีนี้ หลังญาติเหยื่อโผล่เพิ่มรายวัน กับ รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล นักอาชญาวิทยา ผู้ช่วยอธิการบดีและประธานกรรมการ คณะอาชญาวิทยาฯ ม.รังสิต, รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มศว, นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ และ นายรพี ชำนาญเรือ ผู้ประสานงานเหยื่อในคดี
โดย นายรพี เป็นรุ่นพี่ และเป็นคนที่ น.ส.ก้อย ผู้เสียชีวิตคนล่าสุดให้ความเคารพนับถือ และเข้ามาประสานงานในเรื่องนี้ ซึ่ง นายรพี ระบุว่า ที่โพสต์นั้น เพราะตามหาญาติของผู้เสียชีวิตที่มีลักษณะคล้าย น.ส.ก้อย และอาจเกี่ยวเนื่องกับ น.ส.แอม แต่เราไม่ได้กล่าวหา น.ส.แอม ว่า แอมเป็นคนทำให้เขาเสียชีวิต ซึ่งเมื่อเช้านี้หลังจากที่โพสต์ไปก็มีคนติดต่อมา 2 เคส แต่เรายังไม่ได้ข้อมูลอะไรมาก เบื้องต้น มีเคสหนึ่ง ผู้เสียชีวิตชื่อ "นิด" อยู่นครปฐม พรุ่งนี้ก็น่าจะเผยข้อมูลได้
...
เมื่อถามว่ามีความหนักใจเรื่องคดีหรือไม่ หลังมีข่าวว่า น.ส.แอม มีประวัติเคยรักษาอาการทางจิต นายรพี เผยว่า ในเรื่องคดีทางผมมั่นใจทีม บิ๊กโจ๊ก ว่าจะมีพยานหลักฐานพอสมควร ซึ่งก็ต้องว่าไปตามกระบวนการ ไม่หนักใจ
เมื่อถามว่า หากใครสักคนที่จะก่อคดีกว่า 10 ศพ ต่อเนื่อง สามารถเกิดขึ้นได้หรือไม่ รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ ระบุว่า ต้องดูสาเหตุ และแรงจูงใจว่า เขากระทำไป ประสงค์อะไร เท่าที่เราทราบตอนนี้ผู้เสียชีวิตมีความเกี่ยวข้องกับผู้ต้องหา ไม่ว่าจะเป็นการให้ยืมเงิน ชวนมาปล่อยเงินกู้ หรือชวนมาเล่นแชร์ และคนในวงแชร์เสียชีวิต โดยหลักการ คนที่กระทำความผิดสำเร็จ เขาก็จะยึดรูปแบบนี้กระทำต่อเนื่อง ซึ่งตนเคยพูดแล้วว่า ในการสืบสวนนั้น ในรายแรกๆ จะต้องสืบให้ได้ข้อมูลที่ชัด เพื่อที่จะไม่ให้เกิดรายหลังๆ ตามมา
ด้าน รศ.นพ.วีระศักดิ์ เผยว่า ลักษณะการก่อเหตุต่อเนื่องแบบนี้ ในประเทศไทยเรายังไม่เคยได้ยินข่าว แต่มีในต่างประเทศ ซึ่งตนเคยศึกษาเกี่ยวกับฆาตกรต่อเนื่องโดยใช้สารไซยาไนด์ ที่ญี่ปุ่น พบว่ามีหญิงอายุ 60 กว่า ใช้วิธีหลอกให้รัก แต่งงานกัน และให้กินยาแคปซูลที่มีไซยาไนด์อยู่ จนเสียชีวิต ทั้งหมด 4 ราย มาจับได้รายที่ 4 แต่ตำรวจก็ยังไม่สรุปว่ามีแค่ 4 รายหรือไม่ แต่หลักฐานที่ยืนยันได้มีเพียง 4 ราย แล้วทั้งหมดก็ประสงค์ต่อทรัพย์ทั้งสิ้น เพราะเธอแต่งงานก็เพื่อหวังมรดก คดีแบบนี้จะมีลักษณะคล้ายกัน โดยการใช้พิษในการฆาตกรรมนั้น มักจะเจอในคนร้ายที่เป็นผู้หญิง เพราะถ้าเป็นผู้ชายจะใช้อาวุธมากกว่า ซึ่งในประเทศไทยเองก็เพิ่งเคยได้ยิน แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีข้อสรุปใดๆ ทั้งสิ้น
ด้าน ทนายเดชา เผยว่า หากไปค้นฎีกา คนร้ายที่วางยาพิษแบบนี้มี แต่ส่วนใหญ่จะแค่รายเดียว ซึ่งคนที่ทำผิดซ้ำ ก็เป็นเพราะว่าที่ผ่านมาคนจับไม่ได้ ซึ่งผู้ต้องหาในคดีนี้ ไม่มีความสะทกสะท้าน หรือเสียใจ ยังฉลองวันเกิดได้ หรือแม้แต่เคสของ น.ส.ก้อย เขาก็ยังเดินไปเดินมา สมมติถ้าทำมาหลายครั้ง ไม่มีใครจับได้ เขาก็ไม่กลัว แล้วยิ่งได้ทนายความใจถึงพึ่งได้ หญิงมั่นใจมั่น ยิ่งไปกันใหญ่
เมื่อถามว่า ในกรณีของผู้เสียชีวิตรายอื่นที่เผาร่างไปแล้ว แต่ติดใจสงสัย จะมีการพิสูจน์อย่างไร รศ.นพ.วีระศักดิ์ เผยว่า กรณีศพที่ถูกเผาไปแล้ว ก็จะไม่มีหลักฐานที่ตัวศพ แต่เรายังต้องไปดูในรายละเอียดของแต่ละคน ว่ามีการเข้ารักษาใน รพ. บ้างหรือไม่ ซึ่งจะมีรายละเอียดที่พอจะนำมาดูข้อมูลได้ ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตที่ระบุในหนังสือรับรองการตาย เป็นการรับรองในเบื้องต้น บางฉบับให้ข้อมูลพอสมควร และอาจนำมาใช้ประโยชน์ได้ แต่ทางตำรวจอาจจะต้องไปสอบแพทย์ผู้เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาความเชื่อมโยง ว่ามีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่ รวมถึงเจ้าหน้าที่ต้องหาหลักฐาน พยานแวดล้อมอื่นๆ มาประกอบด้วย
...
ด้าน รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ เผยว่า ทางตำรวจจะต้องทำ 2 อย่างคือ สืบสวน และสอบสวน แสวงหาพยานหลักฐาน เบื้องต้นเรารู้แล้วว่า คนนี้คือผู้ต้องสงสัย รู้รูปแบบในการก่อเหตุที่คล้ายกัน คือ วางยาเหยื่อ สร้างความสนิทสนมเหยื่อ การล้างหนี้ หลังจากนั้นก็ต้องรวบรวมพยานหลักฐานตามกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้ศาลเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัย และลงโทษตามกฎหมาย การชันสูตรก็เป็นหนึ่งในการรวบรวมพยานหลักฐานที่สำคัญ เพื่อพิสูจน์สาเหตุการตาย แต่ก็ยังมีหลักฐานอื่นๆ อีก เช่น ข้อความสนทนาในออนไลน์ พยานบุคคล มีบางคดีไม่พบศพ แต่อัยการนำสืบจนศาลปราศจากข้อสงสัย
เมื่อถามทนายเดชา หลังมีข่าวว่า น.ส.แอม ระบุว่า มีการพบขวดไซยาไนด์ ในบ้านของ นายแด้ อดีตสามีที่เสียชีวิตไป แต่ น.ส.แอม บอกว่าก็ไม่ได้พบที่ตัวเขา แล้วต้องมีหลักฐานขนาดไหนถึงจะเอาผิดได้ ทนายเดชา เผยว่า หลายคนที่ตามข่าวก็ตัดสินเขาไปแล้วว่าผิด แต่ประเทศไทย เป็นระบบกล่าวหา จะลงโทษใคร จำเลยต้องกระทำผิดตามฟ้อง โดยปราศจากข้อสงสัย เพราะฉะนั้นคนตายมีอยู่แล้ว แต่ถามว่าใครเป็นคนฆ่า ประจักษ์พยานก็ไม่มี จะไปหาพยานเชื่อมโยงอะไรที่จะทำให้ศาลเชื่อได้ ตรงนี้สำคัญ แต่ถ้ามีช่องว่าง ศาลก็อาจจะยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องยากที่จะหาหลักฐานมาอุดช่องว่างเหล่านี้
...
ต่อข้อถาม ถึงคดี น.ส.ก้อย ทนายเดชา บอกว่า เท่าที่คุยกับ นายรพี พยานหลักฐานน่าจะมีพอสมควร แต่ก็ยังมีช่องว่าง ว่าไม่มีใครเห็นว่านำไซยาไนด์ให้ผู้ตายกินตอนไหน ซึ่งต้องไปหาพยานมา หรือหามาให้ได้ว่า ไซยาไนด์ที่อยู่ในศพมาจากผู้ต้องหา อีกประเด็นต้องดูแนวคำตัดสินของศาลฎีกา กรณีวางยาพิษ ต้องดูปริมาณสารอันตรายว่ามีมากแค่ไหน ถ้าไม่เยอะ อาจแค่เจตนาทำร้าย ดังนั้นคดีนี้ต้องละเอียด เพราะโทษสูงถึงประหารชีวิต
ด้าน รศ.นพ.วีระศักดิ์ เผยต่อว่า เรื่องของไซยาไนด์ยังไม่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมายืนยัน แต่โดยหลักแล้ว เมื่อตรวจพบว่ามีสารไซยาไนด์ในร่างกาย ต้องตรวจหาปริมาณ ว่ามีมากถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้หรือไม่ และต้องตรวจสอบให้ได้ว่า รับสารจากทางใด ทางจมูก หรือว่าการกิน ถ้าชัดเจนแล้ว ก็จะสรุปการเสียชีวิตออกมา ส่วนใบรับรองการตาย เป็นการออกในเบื้องต้นเท่านั้น
นอกจากนี้ ทนายเดชา ยังพูดถึง น.ส.แอมว่า ตอนนี้ผู้ต้องหายังปฏิเสธ ทนายก็ปฏิเสธ เมื่อถามว่าทนายเขาทำตามหน้าที่หรือไม่ ทนายเดชา มองว่า ทำเกินหน้าที่ จ่ายร้อยทำหมื่น แบบนี้ใครจ้างก็คุ้ม โดยหลัก ทนายที่มีจรรยาบรรณ เขารับว่าความหมด ไม่ว่าคนดี คนชั่ว แต่ต้องว่าไปตามพยานหลักฐาน แต่หากลูกความเราไปวางยาพิษ เราบอกไม่ได้ทำเลย คนในวงจรปิดไม่ใช่ลูกความของฉัน ไม่ได้ อันนี้จะเป็นทนายสายโจร
ด้าน รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ บอกด้วยว่า จากภาพวงจรปิดที่ออกมานั้น ตนเชื่อว่าตำรวจน่าจะมีมุมอื่นด้วย เพราะแนวทางการสืบสวนจะเก็บทุกรายละเอียด เพื่อให้ศาลเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัย แต่บางอย่างอาจจะเปิดเผยไม่ได้ และสิ่งที่พูดอาจจะไม่ใช่ สิ่งที่คิดอาจจะไม่เป็นไปตามนั้น เพราะในขณะที่เราคุยกันอยู่ตอนนี้ ทนายของผู้ต้องหาอาจจะดูอยู่ เขาก็ต้องเก็บว่าคุยอะไรกันบ้าง ระหว่างนั้นทนายเดชา ตะโกนขึ้นมาว่า หากดูอยู่ ถ้าลูกความทำผิด ก็ให้รับสารภาพเถอะ
...
ติดตามได้ในรายการเปิดปากกับภาคภูมิ เวลา 15.30 น. ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32