พี่สาวร้องขอความเป็นธรรม น้องชายวัย 13 เจอวัยรุ่นเจ้าถิ่น รุมทำร้าย สลบคาสนามบอล โดยไม่เคยมีเรื่องกันมาก่อน หวั่นคดีไม่คืบ เพราะขนาดเดินสวนที่โรงพัก ยังไม่พบว่าสลด

รายการเปิดปากกับภาคภูมิ วันนี้ (10 มี.ค.) พบกับญาติของเด็ก ม.1 ที่ถูกกลุ่มวัยรุ่น 5 คน รุมกระทืบกลางสนามกีฬาสลบ เหตุเกิดใน จ.เพชรบูรณ์ เมื่อวันที่ 4 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยน้องยืนยันว่า ไม่เคยมีเรื่องกับคนกลุ่มนี้มาก่อน ด้านพี่สาวรับไม่ได้ เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวคนก่อเหตุ เพราะเป็นเยาวชน ถามกลับ “เยาวชนที่ทำผิดซ้ำซาก” จะได้รับโทษหนักกว่านี้ได้หรือไม่

น.ส.แนน พี่สาวของผู้เสียหาย เปิดเผยว่า วันที่ 4 มี.ค. น้องขอไปเล่นบอลที่สนามกีฬาดังกล่าว ช่วงเย็นเพื่อนน้องโทรมาบอกว่า น้องเข้า รพ. ก็คิดว่ารถล้ม กระทั่งมารู้ว่าโดนทำร้าย ตนก็รีบไปที่โรงพยาบาล เห็นสภาพน้องตอนนั้นถึงกับเข่าทรุด เพราะนอนนิ่งบนเตียง อยู่ในห้องฉุกเฉิน สอบถามเพื่อนน้องทราบว่า โดนรุมทำร้าย ตนจึงโมโห และโพสต์ลงกลุ่มวิเชียรบุรี เพื่อตามหากลุ่มที่ทำร้ายน้องชาย เพราะเชื่อว่าเด็กแถวนั้นน่าจะรู้ ไม่เกิน 10 นาที ก็มีคนโทรเข้ามาหา ให้ตนลบโพสต์ บอกว่า มีลูกเขาอยู่ในนั้นด้วย อ้างว่าอยู่บ้านทั้งวัน ไม่ได้ไปไหน ตนจึงว่า เดี๋ยวดูกล้องก็รู้ว่าใช่หรือเปล่า ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้แจ้งความ เพราะว่าน้องยังไม่ออกมาจากห้องฉุกเฉิน ก่อนจะไปตามหาวงจรปิด จนได้ภาพที่เกิดเหตุบริเวณ สนามฟุตซอล ของเทศบาลเมืองวิเชียรบุรี

ซึ่งหลังออกจากโรงพยาบาล น้องก็ยังมีอาการไอ เสลดออกมาเป็นเลือด นั่งกินข้าวอยู่ก็มีเลือดออกมาจากจมูก นอกจากนี้ ยังมีอาการบาดเจ็บที่บริเวณหน้า จากการถูกกลุ่มวัยรุ่นใช้สนับมือด้วย

เหตุการณ์ในวันนั้น ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุน้องได้เจอกับกลุ่มวัยรุ่นก่อนแล้ว ระหว่างทางที่จะไปรับเพื่อน กลุ่มนั้นก็มีการตะโกนด่าว่า “กระจอก” ซึ่งน้องก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร จากนั้นน้องก็ไปเตะบอล และเมื่อน้องมาเล่นบอลที่สนาม กลุ่มวัยรุ่นได้วนมาดู 2 รอบ และเข้ามาทำร้ายขณะที่น้องยังเล่นฟุตบอลอยู่เลย คนอื่นๆ ก็ถอยออกมา เพราะเห็นว่ามีสนับมือ ซึ่งคนที่เข้ามาทำร้ายนั้น โตสุดอายุ 16 ปี เด็กสุด 11 ปี หลังทำร้ายสลบ ก็หนีไป จากนั้นก็มีผู้ใหญ่ที่มาเตะบอลพอดี จึงโทรเรียกรถพยาบาล และมีการโทรแจ้งมาที่ตนเอง

...

น้องนอนอยู่โรงพยาบาล 1 คืน จากนั้นกลับบ้าน เพื่อรอส่งตัวไปอีกโรงพยาบาลเพชรบูรณ์ ในวันจันทร์ เพื่อเอกซเรย์สมองด้วย เพราะน้องถูกทำร้ายบริเวณหัวและหน้า เพราะตอนนี้ศีรษะบวม ตาข้างขวาบวม จมูกหัก มีรอยช้ำตามร่างกาย ซึ่งแพทย์ให้รอผลข้างเคียง 20 วัน

ตอนที่พ่อแม่รู้ข่าว ถึงกับร้องไห้ เพราะเห็นภาพจากข่าว เขาก็รับไม่ได้ ขนาดเราเห็นแล้วยังน้ำตาไหล ในทางกลับกัน หากเขาโดนบ้าง จะรู้สึกอย่างไร

เมื่อถามว่า หากตัดคำว่า “เยาวชน” ออกไป พฤติกรรมแบบนี้ ถือว่าโหดหรือไม่ ทนายโนบิ บอกว่า ลักษณะนี้เป็นภัยสังคม อยากฝากถึงน้องๆ การทำแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเท่ เป็นเจ้าถิ่นก็ควรให้การต้อนรับ ถ้าเป็นผู้ใหญ่ทำก็โดนข้อหาทำร้ายร่างกาย หากผลตรวจออกมาพบว่า สาหัส โทษก็จะมากขึ้น ติดคุกได้เลย เพียงแต่ตอนนี้คุณเป็นเด็ก กฎหมายคุ้มครองคุณ แต่ไม่ใช่ไม่ถูกดำเนินคดี เพราะหากก่อเหตุก็จะถูกดำเนินคดี เพียงแต่ผลจะเบากว่าผู้ใหญ่ ซึ่งคนที่เดือดร้อนที่สุดคือ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ที่จะต้องมารับผิดชอบการกระทำนี้ด้วย

พี่สาวบอกด้วยว่า หลังเกิดเหตุวันที่ 8 มี.ค. ไปติดตามคดีที่โรงพัก เดินสวนกับเด็กกลุ่มนี้ที่ทำร้ายน้องชายตน ซึ่งมากับเพื่อนคนอื่นๆ อีก สีหน้ายังรื่นเริงดี

นายแบงก์ พี่เขยของน้อง ม.1 บอกว่า ได้ยินเขาพูดกับเด็กคนอื่นๆ ในกลุ่มว่า ไม่กลัวหรอกตำรวจ จับไม่ได้หรอก

ในทางคดี เราติดใจมาก อยากให้เร่งทำคดีให้เร็วกว่านี้ ถ้ารอในกระบวนการเรารอได้ แต่เด็กที่เข้ามาทำร้าย ยังใช้ชีวิตปกติ ตำรวจไม่สามารถทำให้เขาเข้ามาอยู่ในกรอบได้ หรือแจ้งผู้ปกครอง ให้ควบคุมพฤติกรรม แต่ที่ผ่านมาไม่มีเลย เพราะเรารู้มาว่า เด็กกลุ่มนี้เคยก่อเหตุมาแล้วกับคนอื่น ที่รู้เพราะหลังจากโพสต์ไปครั้งนั้น ก็มีผู้ปกครองแชตเข้ามาคุย ซึ่งตำรวจที่ทำคดีก็คนเดียวกัน กลายเป็นเราที่หนักใจ ว่าเขาจะมาทำร้ายน้องเราอีกไหม หรือจะไปทำร้ายใครอีก ข้อหาก็ยังไม่มี

จากการสอบถาม พ.ต.ท.พงศ์อิทธิ์ ศรีแจ่มใส รองผู้กำกับการ สอบสวน สภ.วิเชียรบุรี ถึงความคืบหน้าทางคดี ทราบว่า พนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานมาตลอด และติดตามผู้กระทำความผิด จนทราบรายละเอียดทั้งหมดว่าเป็นใคร ส่วนผู้บาดเจ็บได้ส่งไปตรวจบาดแผลที่โรงพยาบาล ให้แพทย์ลงความเห็น เพื่อพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหากับผู้กระทำความผิด ซึ่งเมื่อได้ใบแพทย์มาแล้ว จะได้ประสานกับสหวิชาชีพ ในการสอบสวนผู้กระทำความผิด เพื่อดำเนินการต่อไป

...

ซึ่งในกระบวนการทั้งหมด จนนำไปสู่การแจ้งข้อกล่าวหานั้น พ.ต.ท.พงศ์อิทธิ์ ยืนยันว่า ใช้เวลาไม่นาน ถ้าได้ใบรับรองแพทย์มา เราก็จะรู้แล้วว่าจะแจ้งข้อหาใด หลังจากแจ้งข้อหา จะมีการส่งเด็กที่ไปศาลเยาวชนและครอบครัวเพื่อให้ศาลมีคำสั่งต่อไป

ส่วนพฤติการณ์ที่เห็นจากในวงจรปิดคือ ร่วมกันทำร้ายร่างกาย ให้ได้รับบาดเจ็บ แต่จะสาหัสหรือไม่ ต้องรอใบรับรองแพทย์ และเมื่อผู้กระทำความผิดเป็นเด็ก จะแจ้งข้อหาเลยไม่ได้ ต้องรอใบรับรองแพทย์ก่อน ซึ่งตอนที่เรียกมาวันที่ 8 มี.ค. ก็เพื่อมาทำการสอบถามรายละเอียดเบื้องต้น ว่าเป็นผู้ก่อเหตุ ซึ่งเขาก็รับว่าก่อเหตุจริง ส่วนสาเหตุขอให้อยู่ในสำนวน

อย่างไรก็ตาม จะได้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ไปช่วยดูแลความปลอดภัยของครอบครัวผู้เสียหายให้

จากนั้น ทนายโนบิ บอกว่า อยากให้ตรวจสอบด้วยว่า ผู้ก่อเหตุกลุ่มนี้เคยก่อเหตุแบบนี้อีกหรือไม่ และอยากให้มีการเชิญผู้ปกครองของผู้ก่อเหตุมาตกลงกันว่า ระหว่างที่รอกระบวนการสอบสวน จะมีการดูแลเด็กผู้ก่อเหตุอย่างไร ซึ่งทาง พ.ต.ท.พงศ์อิทธิ์ บอกว่า เรื่องที่เคยก่อเหตุมาก่อนหรือไม่ ต้องสอบสวนอีกที แต่เรื่องการเชิญผู้ปกครองทั้งสองฝ่ายมาเจรจา เพื่อหาทางออก จะได้เร่งดำเนินการ

ด้าน อ.ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม เผยว่า เรื่องนี้จริงๆ แล้วสามารถแจ้งข้อกล่าวหาทำร้ายร่างกายก่อนได้ และหากผลออกมาว่าสาหัส ค่อยมาแจ้งข้อหาเพิ่มเติมได้ ไม่ควรปล่อยกลับไป ซึ่งหากแจ้งแล้ว ส่งสถานพินิจก่อนได้ แต่จะอนุญาตหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณา

นอกจากนี้ พี่สาวและพี่เขย ของผู้เสียหายบอกด้วยว่า วันที่เราไปตามผู้ก่อเหตุที่โรงเรียน เขาก็ยังไม่พูดว่าทำร้ายน้องเพราะอะไร และจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีผู้ปกครองของผู้ก่อเหตุ ติดต่อมาเพื่อขอโทษสักคน.


...

ติดตามได้ในรายการเปิดปากกับภาคภูมิ เวลา 15.30 น. ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32