สถานการณ์การระบาดโควิด-19 คลี่คลายลง “จีนเปิดประเทศ” ย่อมนำมาสู่การฟื้นฟูทางด้านเศรษฐกิจเติบโตเร็วขึ้น “ก่อให้เกิดการเคลื่อนตัวของคน การลงทุน และสินค้ามหาศาล” แผ่ขยายไปยังประเทศที่กำลังพัฒนาในฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลับเข้ามาครอบงำเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมเช่นเดิม

โดยเฉพาะ “ประเทศไทย” กลายเป็นจุดหมายสำคัญสำหรับ “นักธุรกิจจีน” เพราะมีความพร้อมตั้งอยู่จุดยุทธศาสตร์ “เป็นศูนย์กลาง” สามารถเชื่อมโยงตลาดในหลายประเทศอาเซียนได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น

ทั้งยังมี “ปัจจัยจากนโยบายหลายอย่างเอื้อให้คนจีนหลั่งไหลเข้ามา” ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสาธารณูปโภคเชื่อมโยงระหว่างประเทศ หรือความร่วมมือ และข้อตกลงระหว่างกันนี้ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส บอกว่า

ความจริงแล้วสาเหตุส่วนหนึ่ง “คนจีนนิยมชมชอบเดินทางมาประเทศไทย” เพราะลักษณะทางศาสนา อาหาร และวัฒนธรรมใกล้เคียงกันแล้ว “คนไทย” ก็ค่อนข้างเป็นมิตรเปิดกว้างต้อนรับมากกว่าชาติอื่น

...

ดร.โสภณ พรโชคชัย
ดร.โสภณ พรโชคชัย

หากย้อน “ความสัมพันธ์ไทย-จีน” เมื่อประมาณ 100 ปีก่อน “คนจีน” เผชิญการเกิดทุพภิกขภัยอดอยากจากแห้งแล้ง ทำให้จีนตอนเหนือบางส่วนย้ายถิ่นฐานไปที่สหรัฐอเมริกา ส่วน “จีนตอนใต้” เดินทางข้ามทะเลเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “เรียกว่าชาวจีนโพ้นทะเล” กระจายในมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และไทย

ส่วนใหญ่มุ่งหวังเข้ามาพึ่งพาอาศัยชั่วคราว “อยู่นานไปเห็นลู่ทางทำมาหากินและบางคนมีครอบครัว” แล้วช่วงนั้นประเทศจีนเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทำให้หลายคนตัดสินใจตั้งรกรากอยู่ในไทย

แล้วต่อมา “จีนโพ้นทะเลประสบความสำเร็จ” ก็ชักชวนเครือญาติในจีนมาอยู่ด้วยเรียกว่า “จีนอพยพใหม่” มีความสัมพันธ์เครือญาติกับ “จีนโพ้นทะเล” ทำธุรกิจการค้าประกอบอาชีพร่วมกับเครือญาติของตน

แต่ปัจจุบันนี้ “จีนรุ่นใหม่เข้ามาในไทย” แตกต่างกับ “จีนโพ้นทะเล หรือจีนอพยพใหม่” เพราะเป็นการอพยพแสวงหาโอกาสด้านการศึกษา การทำธุรกิจ และการลงทุนนั้นรุกเข้ามาทำธุรกิจต่างๆ ทั้งเปิดล้งสินค้าการเกษตร กิจการโรงแรม หรือธุรกิจบริการอื่น กลายเป็นตั้งกิจการทำแข่งกับ “คนไทย” แบบกินรวบด้วยซ้ำ

อย่างเช่น “นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ทำกันอย่างเป็นระบบ” ที่กำลังมีความเติบโตตามความนิยมของคนจีน “ซื้อคอนโดมิเนียม” บางส่วนยังฝังตัวอ้างว่า “เรียนในมหาวิทยาลัย” ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นรวดเร็ว

สิ่งที่น่าสังเกตอีกคือ “นักธุรกิจชั้นนำหรือนักวิชาการคนไทยเชื้อสายจีน ประสบความสำเร็จในชีวิต” ต่างพากันออกมาเชียร์จีนลักษณะการสะท้อนภาพลักษณ์เชิงบวกต่อ “การสร้างความร่วมมือการลงทุนธุรกิจกับจีนมากมาย” จนนำไปสู่ประเทศไทยมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดกันมาตลอดนั้น

ความจริงแล้ว “ท่านเหล่านี้ล้วนมีผลประโยชน์ทางธุรกิจกับจีนทั้งสิ้น” ดังนั้นแน่นอนว่า “คงไม่ใช่เป็นเพียงการเชียร์เพราะด้วยเป็นคนเชื้อชาติเดียวกันเท่านั้น” สังเกตง่ายๆจากนักธุรกิจชั้นนำของประเทศหลายคนต่างก็ไปทำธุรกิจในประเทศจีนจนประสบความสำเร็จร่ำรวยมีชื่อเสียงอยู่มากมายในขณะนี้

...

ฉะนั้น “ความเคลื่อนไหวกลุ่มทุนจีนรุ่นใหม่นี้” ทำให้ดูประหนึ่งว่า “กำลังกลายเป็นตัวแทนของรัฐบาลจีนเข้ามาในประเทศกำลังพัฒนา” ลักษณะการแผ่อำนาจเชิงการล่าอาณานิคมยุคใหม่มากกว่าจะเป็นนักธุรกิจเสียด้วยซ้ำ เพราะด้วยปัจจุบันการใช้กำลังทางทหารเพื่อขยายอำนาจนั้นคงทำได้ยากแล้ว

เท่าที่สังเกตช่วงหลังมานี้ “จีนมีการขยายอิทธิพลในประเทศกัมพูชา สปป.ลาว และเมียนมา” แล้วเข้าควบคุมกิจการเกือบทุกอย่างกลายเป็นส่วนหนึ่งการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศพัฒนา “ด้วยการใช้คลื่นมนุษย์เข้าขยายเศรษฐกิจจีน” แล้วยิ่งกว่านั้น “คนกลุ่มนี้ได้รับสนับสนุนจากรัฐบาลจีน” ในการส่งเสริมสารพัด

“เพื่อให้ไปตั้งรกรากขยายอิทธิพลในต่างประเทศอย่างกรณีที่เคยทำสำเร็จมาในซินเจียงและทิเบต แต่ละคนที่เข้าไปนั้นได้เงินติดกระเป๋ามาพอสมควร ดังนั้น เห็นว่าจีนรุ่นใหม่ออกนอกประเทศล้วนมีวิสาหกิจจีนหนุนหลังไม่ใช่มาแบบเสื่อผืนหมอนใบเหมือนร้อยปีก่อนอันมีเป้าหมายล่าอาณานิคมขยายเศรษฐกิจนอกประเทศ” ดร.โสภณ ว่า

ตอกย้ำความจริงที่ว่า “คนจีนต่างก็ดิ้นรนอยากย้ายถิ่นฐานมาในไทย” สาเหตุง่ายๆคือ “รัฐบาลจีน” ให้พลเมืองสามารถเช่าที่ หรือซื้อห้องชุดอยู่ได้แค่ 70 ปี แล้วการซื้อค่อนข้างมีเงื่อนไขมาก ทำให้โอกาสจะมีบ้านอยู่อย่างสบายเป็นไปได้น้อย เพราะที่ดินของจีนทั้งประเทศเป็นของรัฐบาลไม่ใช่กรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล

กรรมสิทธิ์การครอบครองบ้านของจีน “รัฐบาล” จะแบ่งเป็นประเภทออกสัญญาเช่าให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์เอกชนสร้างบ้านพักอาศัยให้เช่าต่อระยะเวลา 70 ปี หากเพื่อทำธุรกิจการค้าระยะเช่า 40-50 ปี

...

ถ้าเทียบกับ “ประเทศไทย” ซื้อที่อยู่เพียงครั้งเดียวราคาเฉลี่ย 4 ล้านบาทสามารถอาศัยได้ชั่วกัลปาวสาน “แล้วการกำหนดราคาขั้นต่ำที่ซื้อได้แทบไม่ต้องเสียภาษี” นั่นก็เท่ากับว่าประเทศไทยกำลังปล่อยให้คนจีนเข้ามา “ซื้อกระจาย” ขณะที่คนไทยหรือคนทั่วโลกไม่อาจไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนได้ด้วยซ้ำ

เพราะแม้ “รัฐบาลจีน” จะเปิดโอกาสให้ต่างชาติซื้อบ้านได้แต่แท้จริงคือ “การเช่าที่ดิน 70 ปี” ยิ่งเป็นที่ดินเปล่าโอกาสค่อนข้างเช่ายุ่งยากมาก แล้วกรณีซื้อห้องชุดเป็นการซื้อขายขาดแต่ต้องขึ้นอยู่กับว่า “ที่ดินแปลงห้องชุดมีสัญญาเช่ากับรัฐบาลเหลืออีกกี่ปี” ทำให้ห้องชุดนั้นเหลือเวลาสั้นโอกาสขายต่อยิ่งแทบเป็นไปไม่ได้

ต่อมาตาม “พ.ร.บ.อีอีซี” เปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจบริการได้โดยซื้อห้องชุดได้ 100% เช่าที่ดินได้ 99 ปี “สามารถพาญาติมาได้ หรือใช้เงินสกุลตนเอง” แถมได้สิทธิประโยชน์อีกมากมาย ดังนั้นอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันออกของประเทศคงน่าจะมีชาวจีนมาซื้อมากกว่าชาติอื่น

ขณะเดียวกัน “ชาติตะวันตก สแกนดิเนเวีย ญี่ปุ่น เกาหลี” ก็ทำท่าถอยห่างจากประเทศไทยไปลงทุนยังในประเทศอินโดนีเซีย เวียดนาม กัมพูชา สิ่งนี้ยิ่งทำให้จีนแทรกเข้ามาได้มากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปร้านอาหารทั้งหลายต้องเขียนป้ายภาษาจีนเป็นสำคัญ ไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่น หรือรัสเซียเช่นแต่ก่อนแล้ว

ย้ำเหตุปัจจุบัน “ชุนชนคนจีนใหญ่ที่สุดในไทย” มักอาศัยอยู่รวมกัน แถวย่านรัชดา ย่านห้วยขวาง ย่านบางนา-ตราด และย่านลาดกระบัง
มีทั้งอาศัยแบบระยะสั้น-ระยะยาว โดยเฉพาะสำเพ็งเยาวราช “กลายเป็นชุมชนจีนที่เกิดขึ้นใหม่” เปรียบเสมือนศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของชาวจีนอพยพใหม่แล้วด้วยซ้ำ

...

มีข้อสังเกตว่า “พื้นที่แหล่งนี้เป็นทำเลทองค่าเช่าหลักแสนบาทต่อเดือน” แต่บางร้านขายสินค้าเล็กๆน้อยๆ กลับมีเงินทุนหมุนเวียนที่สามารถจ่ายค่าเช่าตึกได้ แล้วไม่เท่านั้นยิ่งบ้านจัดสรรราคาหลักร้อยล้านบาทล้วนก็มีแต่ “คนจีน” ที่มีกำลังซื้อกันเป็นจำนวนมาก ทำให้บางหมู่บ้านแทบกลายเป็นชุมชนคนจีนร่ำรวย

ส่วนหนึ่งเพราะ “ภาษีซื้อขายบ้านในไทยราคาถูก” ที่เก็บเฉพาะที่เกิน 50 ล้านบาทตามราคาประเมินราชการล้านละ 200 บาท อันแตกต่างจาก “สิงคโปร์” เก็บภาษีคนต่างชาติซื้อบ้าน 30% เช่น บ้านราคา 40 ล้านบาทต้องเสียภาษี 12 ล้านบาท ในส่วน “สหรัฐฯ” เก็บภาษีที่ดินสิ่งปลูกสร้างปีละ 1% ล้านละ 10,000 บาท

สุดท้าย “รัฐบาล” ต้องตั้งกฎกติกาสำหรับ “คนต่างชาติ” ที่จะเข้ามาทำธุรกิจ หรือครอบครองบ้าน-ที่ดินให้เท่าเทียมกับนานาชาติ “เพื่อเป็นการคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติ” มิเช่นนั้นในอนาคตอันใกล้ “คนจีนอาจจะครองเมืองเข้ามาแย่งงานแย่งอาชีพคนไทย” ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงอย่างกรณีคดีนายตู้ห่าวเกิดขึ้นก็ได้

นี่คือ “ความเป็นเสรีของไทย” กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญจูงใจให้ “คลื่นคนจีนและเงินทุนจีน” เข้ามาแผ่อิทธิพลครอบงำ “เศรษฐกิจ-แย่งทรัพยากร” เช่นนี้รัฐบาลควรมีมาตรการควบคุมตรงนี้ได้แล้ว.