ถ้าเป็นเด็กสมัยก่อน...เขาเรียกว่าพูดจนปากเปียกปากแฉะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา สมาธิสั้นไม่สนใจ น่าเฆี่ยนให้หลังลาย แต่นี่...เป็นผู้ใหญ่รู้วุฒิภาวะอาบน้ำร้อนมาก่อนเด็กไม่รู้กี่กะละมัง สมองก็ยังไม่จำสิ่งที่คนทักซึ่งหนักแน่นกว่าจิ้งจกบนเพดานร้องทักเสียอีก

เปรียบเปรยบทนี้หมายถึง...กรณีการเตือนซ้ำเตือนซากจนปาก “ฉีกถึงรูหู” ขณะการระบาดของไวรัส “โอมิครอน” ที่ต่อมาเรียก “อู่ฮั่น” จนองค์การอนามัยโลกตั้งสมญานามให้เป็น “โควิด-19” แล้วกลายพันธุ์ไม่รู้จบจนบัดนี้...ผลตอบรับการเตือนครั้งนั้นไม่ต่างลมพัดปลิว

กว่าจะรู้ตัวก็เข้าภาษิตจีนที่ว่า...“ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา”

คอนเทนต์นี้จะอะไรอีกเล่า...ถ้าไม่ใช่การเตรียมความพร้อมรับมือโรคร้าย ที่ไม่มีวันหมดสิ้นไปจากโลกนี้และต้องอยู่กันมันให้ได้เพื่อหายใจต่อชีวิต ดีกว่าต้องทนอดตายเพราะความหิวโหยไม่มีกิน

แต่ขณะเดียวกัน...ความพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาร้อยแปดพันประการก็ต้องมีจะได้ไม่ต้องซ้ำเติมสังคมมนุษย์ ซึ่งรุมเร้ากลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายบนหลังอูฐยุคนี้

...

สามปีที่ผ่านมา...ยอมรับว่าโลกวิกฤติมิต่างบ้านเมืองกำลังจนตรอก ถึงขั้นต้องตัดสินใจหักลำเรียกคนต่างชาติมาท่องเที่ยว เพื่อใช้จ่ายเงินทิ้งไว้ให้กับบ้านเรายึดโยงถึงผู้คนจะได้มีกินมีใช้มีงานทำเลี้ยงตัวเองและครอบครัว แต่สมองฉุกคิดกันบ้างมั้ยว่า...ไม่ใช่เรื่องง่าย

เพราะค่ายอาเซียนจำเป็นต้องแข่งขันกันแสวงหาเงินตราต่างประเทศมากู้เศรษฐกิจอีหรอบเดียวกัน

คำถามสำคัญมีว่า...เมื่อเมืองไทยมีทรัพยากรท่องเที่ยวเช่นเดียวกับเพื่อนบ้านมีสินค้าขายเหลือเฟือ แล้วคุณภาพบริการล่ะ?...เรามีมากน้อยแค่ไหนรองรับ คงไม่อัปยศอดสูเหมือนเมื่อครั้งที่ไทยกำลังฟู่ฟ่าปี 2562 เหวี่ยงแหต่างชาติได้เกือบ 40 ล้านคน...ปั้นรายได้ปีนั้น 3.3 ล้านล้านบาท

ปี 2565 ตีปีกลำพองแม้มีโควิดได้ 11.3 ล้านคน คาดปีนี้ได้ 20 ล้านคน พอจีนเปิดประเทศ 8 ธันวาคมกับ 6 มกราคม ก็เริ่มมีหวังกันมากยิ่งขึ้น แล้วยังต้องมาเผชิญกับกระแสร้อนที่ยังไม่เย็น

กรณีสาวจีนทดสอบ “หมาต๋าไทย” ซื้อได้ทุกอย่าง หลังข่าวฮอตอิชชูขบวนการจีนสีเทาพลัดถิ่นมาใหญ่คับฟ้าเหนือตำรวจ ทหาร และนักการเมืองไทย...หล่อนใช้ตำรวจขนกระเป๋าใส่รถแล้วมีรถติดไซเรนนำไปเช็กอินถึงโรงแรมพัทยาจ่ายเงินตอบแทน 7,000 บาท...จากนั้นทำคลิป “ขิง” ชาวโลกให้เมืองไทยต้องกระเทือน...

ผู้ประกอบการขายทัวร์จีนรายหนึ่งหัวเราะร่วน ก่อนบอกว่า “ดราม่านี้มีมานานแล้วที่ตำรวจท้องที่ ตำรวจท่องเที่ยว ตม. ต้องไปรับคุณหญิง คุณนาย เมียโลกที่สองของผู้การหรือผู้มีบารมีถึงประตูเครื่องบิน แล้วพาผ่านฉลุยทุกขั้นตอนโดยตำรวจจ๊อบเอกสารผ่านพิธีการเข้าเมืองให้... ตำรวจลูกกระจ๊อกจะหาลำไพ่กับทัวร์จีนบ้างจะเป็นไรไป?...ก็นายว่าขี้ข้าพลอยนี่นา!”

จะเท็จ...จะจริงมากน้อยแค่ไหน อย่างไรในเรื่องนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องในทุกๆหน่วยงานคงจะต้องสร้างภาพลักษณ์ สร้างความเชื่อมั่น สะท้อน ความจริงให้กระจ่างชัดต่อสังคมอย่างจริงจังและจริงใจ

ความวัวไม่ทันหายความควายก็เข้ามาอีก ถัดมาไม่ทันไร...จากกรณีตำรวจห้วยขวางตั้งด่านหน้าสถานทูตจีน ถนนรัชดาฯ ตี 2 จะเลิกอยู่แล้วพอดีเหยื่อนักท่องเที่ยวไต้หวันระดับซุปตาร์ผ่านมาก็เรียกตรวจอ้างเมา มีบุหรี่ไฟฟ้า ถูกรีดเงิน 27,000 บาทแลกข้อหา ซุปตาร์สาวโกรธกลับไปทำคลิปประจานไทยไปทั่วโลก

แถมพยานปากสำคัญจากสิงคโปร์ก็ยังมายืนยันจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่คนไหนและคนไหนข่มขู่ แม้ว่าผู้ต้องหาทั้ง 6 จะปฏิเสธไม่จริ๊ง...ไม่จริง แม้จะเดินคอตกเข้าคุกก่อนถูกไล่ออก หลังจำนนหลักฐาน

...

และตำรวจระดับซุปเปอร์บิ๊กประกาศกร้าวงานนี้ไม่มี “มวยล้ม” เพราะมีจอมแฉชื่อ “ชูวิทย์” ยืนถือ “เตารีด” พฤติกรรมเจ้าหน้าที่กับ “ปี๊บ” คลุมหัวกำกับข้างเวที...เชียร์ไม่ให้คดีพลิก

งานนี้คือบทเรียนราคาแพง นักกฎหมายชี้ว่า “ถ้าจะช่วยกันก็ใช้มาตรา 157 ผ่อนหนักเป็นเบา เจ้าพนักงานละเว้นปฏิบัติงานโดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2 หมื่นถึง 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับไม่ถึงกับหัวโต...แต่ถ้าใช้มาตรา 149 หัวโตแน่ชัวร์”

กูรูกฎหมายย้ำว่า คดีนี้เจ้าพนักงานเรียกรับสินบนซึ่งหนักมากคือมีอัตราโทษจำคุก ตั้งแต่ 5 ปีถึง 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต ปรับตั้งแต่ 1 แสนถึง 4 แสนบาท...หรือประหารชีวิต!

แนวทางดำเนินคดีดูเหมือนว่า...พิจารณาใช้ควบทั้งมาตรา 157 และ 149 ในความผิดที่ก่อขึ้น ทำให้สังคมชวนทบทวนถึงลูกเมียและเครือญาติจะหาที่ยืนบนแผ่นดินไทยได้ตรงไหน?...ถ้าไม่มีการ “ล้มมวย” เหมือนอย่างที่โพนทะนา และน่าจะสาวต่อไปว่าแพะทั้ง 6 ตัวนี้ต้องส่งส่วยบรรณาการให้กับเจ้าของคอกรายใดอีก

...

...จะได้ติดคุกแล้วโชคดีออกมาขายส้มตำพร้อมกัน?

ผู้สันทัดกรณีทัวร์ไต้หวันตั้งข้อสังเกตว่า การรีดเงินนักท่องเที่ยวจีนและไต้หวันเป็นข้าวเกรียบปากหม้อที่มีมานานตั้งแต่ตำรวจชั้นลูกแถวถึงหมู่ จ่า นายดาบ นายร้อย นายพันถึงผู้กำกับและนายพลที่รับจนรวยแบบไม่แสดงตน แต่ครั้งนี้ซวยเพราะถูก “ทัวร์ลง” ด้วยคู่ชกเป็นซุปตาร์ “ปั๊วะ ปัง” ไต้หวันจนฉาวโฉ่ไปทั้งโลก...

แล้วทำไม “ชูวิทย์” ต้องมาเกิดในตำรวจยุคนี้ด้วย...หือ?

“ช่างทำลายบรรยากาศท่องเที่ยวมากกว่านโยบายส่งเสริมของรัฐบาล คิดดูปี 2562 ก่อนโควิดพ่นพิษมีไต้หวันมาแอ่ว 781,674 คน ปี 2563 หล่นตุ้บลงเหลือ 1,657 คน ปีที่แล้วโควิดยังระบาดแต่มีไต้หวันมาเที่ยว 94,834 คน และมีทั้งหญิงชายวัยทำงานทัวร์ไลฟ์สไตล์ถึงสูงวัยมากับทัวร์เอเย่นต์”

น่าสนใจว่า...ปีนี้เกิดเหตุที่ว่านี้จะทำตลาดไต้หวันสะดุดขา จะล้มหัวฟาดหรือเปล่า...ไม่รู้?

วันนี้ “ท่องเที่ยวไทย” หลังเปิดประเทศให้ต่างชาติเข้ามาเถิดเทิงสบายใจ กูรูอดีตนักบริหารงานท่องเที่ยว มองว่า เรามัวแต่สร้างตัวเลขที่เสี่ยงต่อการเพิ่มยอดผู้ติดเชื้อสกุลใหม่ไม่รู้จบ โดยเฉพาะองค์รวมการเตรียมขายท่องเที่ยวแบบคุณภาพยังต่ำน่าเป็นห่วง...ยกเว้นธุรกิจค้าประเวณี!

...

ขณะที่โรงแรมระดับ 4-5 พัทยายังมีปัญหาเรื่องบุคลากรต้อนรับใช้ภาษาอังกฤษไม่ได้ เพราะไร้ประสบการณ์แทนคนเก่าที่หนีเอาตัวรอดช่วงโควิดไปหางานใหม่ไม่กลับมาด้วยเกรงเกิดซ้ำ เช่นเดียวกับดอร์แมน หน้าประตู บัสบอยยกกระเป๋า ปล่อยให้นักท่องเที่ยวช่วยตัวเองสไตล์เพนชั่นยุโรป

หรือ...แม่บ้านทำความสะอาด พนักงานห้องอาหาร ก็เหมือนกันหมดทั่วประเทศ

ปัจจัยข้างต้นนี้ชวนให้เอเย่นต์ทัวร์สงสัย...รัฐมีหน่วยงานท่องเที่ยวซ้ำซ้อนเกินจำเป็น อาทิ กระทรวงแรงงาน กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ซึ่งมีองค์กรในสังกัดอย่างกรมการท่องเที่ยว ททท. อพท.ทีเซ็บ หรือเอกชน เช่น เสือกระดาษแอตต้า สมาคมโรงแรมไทย สมาคมท่องเที่ยว

ทำไม? ถึงไม่ร่วมกันจัดกิจกรรมอบรมพนักงานบริการทุกชนิด รวมถึงเสือหิวขับรถรับจ้างที่ชอบเอาเปรียบนักท่องเที่ยวควบคู่กันไปด้วย ขณะที่ “ไกด์เถื่อน” หรือ “ไม้กันหมา” ให้ไกด์จีนปล่อยออกหากินกับทัวร์จีนกลับอยู่ได้ ไม่เห็นมีใครเข้าไปยุ่ง...ทัวร์ “ศูนย์เหรียญ” จะฟื้นคืนชีพกลับมาเกิดก็ชาตินี้แหละ?

เดินเกมรุก “ท่องเที่ยวไทย” จะสดใส...ต้องแก้ทุกๆมิติปัญหาเหล่านี้ให้หมดไป.