กรุงเทพฯกลับมาสู่ปกติอีกครั้ง หลังคลื่นประชาชน นักท่องเที่ยว เดินทางกลับเข้าเมืองหลังหมดวันหยุดยาวช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยบางส่วนแวะเข้าวัดกราบพระขอพรกันคึกคัก ขณะที่ ศปถ.สรุปอุบัติเหตุทางถนน 4 วัน เสียชีวิตแล้ว 218 ศพ บาดเจ็บ 1,648 ราย กำชับดูแลความปลอดภัยรองรับประชาชนเดินทางกลับ โดยเฉพาะถนนสายรอง-เส้นทางลัด ส่วนคดีเมาแล้วขับยังพุ่งไม่หยุด เฉพาะวันปีใหม่วันเดียว 2,613 คดี หน่วยงานด้านขนส่งสั่งเสริมรถ-รถไฟ ขนคนกลับ ส่วนกรมทางหลวงเผยช่วงเทศกาลปีใหม่มีรถเข้าออกกรุงกว่า 4 ล้านคัน

ส่งท้ายช่วงหยุดยาวในเทศกาลปีใหม่ 2566 ประชาชนต่างหอบหิ้วสัมภาระเดินทางกลับ พร้อมแวะไหว้พระขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อความศรัทธา เพื่อให้ชีวิตในปีใหม่นี้มีแต่สิ่งดีๆ รวมถึงแวะซื้อของฝากของที่ระลึก สร้างรายได้ให้ผู้ค้าเป็นกอบเป็นกำ

แวะวัดขอพรเสริมมงคล

ตลอดวันที่ 2 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันสุดท้ายของการหยุดช่วงเทศกาลปีใหม่ นักท่องเที่ยวต่างทยอยเดินทางกลับ แต่ระหว่างทางก็แวะจับจ่ายของฝากของที่ระลึกอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง รวมถึงแวะตามวัดวาอาราม เข้ากราบสักการะขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของคู่บ้านคู่เมือง อาทิ คนที่ไปเที่ยวถ้ำหลวงเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ก็แวะทำบุญและกราบขอพรพระเจ้าทันใจ ก่อนกลับ ส่วนที่วัดโพธาราม บ้านท่าไคร้ อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬ เนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวทยอยเข้าวัดกราบไหว้สักการะหลวงพ่อพระใหญ่ พระพุทธรูปปางมารวิชัย พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง เช่นเดียวกับที่วัดโสธรวรารามวรวิหาร จ.ฉะเชิงเทรา ประชาชนจำนวนมากหลั่งไหลมาปิดทอง องค์หลวงพ่อโสธรองค์จำลอง รวมถึงกราบสักการะขอพร เพื่อเป็นสิริมงคล ส่วนที่ อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทร สาคร ผู้คนแห่เข้ากราบไหว้ขอพรองค์หลวงพ่อโต วัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร พร้อมกันนี้ พระมงคลพัฒนาภรณ์ รองเจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร เจ้าอาวาสวัดฯ ยังได้มารับสังฆทานพร้อมให้ศีลให้พรกับทุกคน ขอให้ทุกคนมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง และรวย

...

รถโดยสารจากอีสานแน่นเอี้ยด

นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามสถานีขนส่ง สถานีรถไฟ ที่เป็นชุมทางรถสาธารณะ ต่างเนืองแน่นไปด้วยผู้โดยสารที่หอบหิ้วสัมภาระมารอขึ้นรถกลับกรุงเทพฯ โดยที่สถานีขนส่งผู้โดยสารนครราชสีมา แห่งที่ 2 มีประชาชนจำนวนมากอุ้มลูกจูงหลานหอบหิ้วกระเป๋าสัมภาระและเสบียงอาหาร ทั้งข้าวสาร อาหารแห้ง ปลาร้าบอง ข้าวเหนียวไก่ย่าง พริกปลาป่น ติดตัวกลับไปรับประทาน เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย เข้ามาซื้อตั๋วขึ้นรถโดยสารกันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะที่บริเวณช่องจำหน่ายตั๋วไปกรุงเทพมหานคร และจังหวัดทางภาคตะวันออก แต่หลายคนเดินทางมานั่งรอขึ้นรถตั้งแต่เช้าจนบ่ายก็ยังไม่ได้ขึ้นรถ นอกจากนี้ ห้องจำหน่ายตั๋วของบริษัทบางแห่งติดป้ายตัวโตว่า “เต็ม” จองได้พรุ่งนี้ ทำให้ผู้ที่ต้องการกลับ ต้องไปใช้บริการบริษัทอื่นหรือรถตู้แทน

วันปีใหม่ตาย 66 ศพ

ส่วนที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) วันที่ 2 ม.ค. นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เลขานุการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ในฐานะประธานการประชุมคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนตลอดทั้งปี เปิดเผยว่า จากการรวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 1 มกราคม 2566 ซึ่งเป็นวันที่สี่ของการรณรงค์ “ชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ” เกิดอุบัติเหตุ 478 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 465 คน ผู้เสียชีวิต 66 ราย สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ขับรถเร็ว ร้อยละ 37.03 ดื่มแล้วขับ ร้อยละ 33.26

เรียกตรวจรถกว่า 4 แสนคัน

ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 88.02 ส่วนใหญ่เกิดบนเส้นทางตรง ร้อยละ 79.50 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 38.49 ถนนใน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 32.22 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา 00.01-01.00 น. ร้อยละ 15.69 ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุดอยู่ในช่วงอายุ 20-29 ปี ร้อยละ 23.54 มีการจัดตั้งจุดตรวจหลัก 1,887 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 55,851 คน เรียกตรวจยานพาหนะ 401,164 คัน มีผู้ถูกดำเนินคดีรวม 59,862 ราย มีความผิดฐานไม่มีใบขับขี่ 16,696 ราย ไม่สวมหมวกนิรภัย 16,070 ราย ขับรถเร็วเกินกำหนด 7,109 ราย

สี่วันตายสะสม 218 ศพ

สำหรับจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด นายบุญธรรมระบุได้แก่ สงขลา (27 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ สงขลา (31 คน) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน สระแก้ว สุราษฎร์ธานี (จังหวัดละ 4 ราย) สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสมในช่วง 4 วันของการรณรงค์ (29 ธ.ค.65-1 ม.ค.66) เกิดอุบัติเหตุรวม 1,664 ครั้ง ผู้บาดเจ็บรวม 1,647 คน ผู้เสียชีวิตรวม 218 ราย จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) มี 10 จังหวัด จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี (56 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ สกลนคร (57 คน) จังหวัดที่มี ผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงราย (12 ราย)

...

เฝ้าระวังสายรอง-ทางลัด

ส่วนวันหยุดวันสุดท้ายของช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 นายบุญธรรมกล่าวว่า เส้นทางขากลับเข้าสู่กรุงเทพฯและจังหวัดใหญ่ในภูมิภาคต่างๆ มีปริมาณการจราจรหนาแน่น การสังสรรค์เฉลิมฉลองช่วงเทศกาลปีใหม่อาจทำให้ผู้ขับขี่มีอาการอ่อนล้า ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการง่วงหลับใน ศปถ.เน้นย้ำให้จังหวัดเข้มข้นจุดตรวจโดยเฉพาะเส้นทางเชื่อมสู่ถนนสายหลัก-สายรองที่ประชาชนใช้เป็นทางลัดและทางเลี่ยงเมือง ซึ่งผู้ขับขี่มักใช้ความเร็วสูง พร้อมเพิ่มความถี่ในการเรียกตรวจยานพาหนะและรถโดยสารสาธารณะทั้งประจำทางและไม่ประจำทาง เพื่อชะลอความเร็วรถและประเมินความพร้อมของผู้ขับขี่ เน้นดูแลจุดเสี่ยงอุบัติเหตุ โดยเฉพาะเส้นทางตรงที่มีระยะทางยาวที่มักเกิดอุบัติเหตุจากการหลับใน รวมถึงประสาน การเปิดช่องทางพิเศษเพื่อเร่งระบายรถและจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกบริเวณจุดตัดเส้นทางที่มีการจราจรหนาแน่น

วันปีใหม่คดีเมาขับเพิ่มเป็นพัน

ด้านนายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวว่า สถิติคดีขับรถขณะเมาสุราที่ศาลสั่งคุมความประพฤติ ต้อนรับวันปีใหม่ 1 มกราคม 2566 มีจำนวน 2,666 คดี จำแนกเป็นคดีขับรถขณะเมาสุรา 2,613 คดี คิดเป็นร้อยละ 98.01 คดี ขับเสพ 53 คดี คิดเป็นร้อยละ 1.99 ซึ่งสถิติยอดรวมสะสม 4 วัน ที่มีการควบคุมเข้มงวดตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2565-1 มกราคม 2566 มีจำนวน 4,508 คดี จำแนกเป็นคดีขับรถขณะเมาสุรา 4,300 คดี คดีขับรถประมาท 11 คดี และคดีขับเสพ 197 คดี จังหวัดที่มีสถิติคดีขับรถขณะเมาสุรายอดสะสมสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่ ร้อยเอ็ด 255 คดี นนทบุรี 252 และเลย 245 คดี ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบสถิติ คดีเข้าสู่คุมประพฤติในวันที่สี่ของช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2565 และ พ.ศ.2566 พบว่าคดีขับรถขณะเมาสุรา ปี พ.ศ.2565 จำนวน 52 คดี และ ปี พ.ศ.2566 มีจำนวน 2,613 คดี เพิ่มขึ้น 2,561 คดี

...

เทียบสถิติอุบัติเหตุลดลง

ในส่วนของตำรวจ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะรอง ผอ.ศูนย์ฯ ประชุมศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2566 สรุปข้อมูลและสถิติอุบัติเหตุใหญ่ การบังคับใช้กฎหมาย 10 ข้อหาหลัก การตั้งจุดตรวจ แนวทางการป้องกันอุบัติเหตุในพื้นที่ ตลอดจนสภาพการจราจรและปริมาณรถในพื้นที่ว่า สถิติสะสมในห้วง 3 วันอันตราย ระหว่างวันที่ 29-31 ธ.ค.2565 มีการเกิดอุบัติเหตุ 1,183 ครั้ง ลดลงกว่าช่วงเดียวกันของปีใหม่ปี 65 จำนวน 169 ครั้ง (-12.50%) และลดลงกว่าค่าเฉลี่ยสะสม 3 ปี 317 ครั้ง (-21.13%) สถิติผู้เสียชีวิต 146 ราย ลดลงกว่าช่วงเดียวของปีใหม่ปี 65 จำนวน 18 ราย (-10.98%) และลดลงกว่าค่าเฉลี่ยสะสม 3 ปี 33 ราย (-18.44%) สถิติผู้บาดเจ็บ 1,182 คน ลดลงกว่าช่วงเดียวของปีใหม่ปี 65 จำนวน 118 ราย (-9.08%) ลดลงกว่าค่าเฉลี่ยสะสม 3 ปี จำนวน 310 คน (-20.78%)

ทำผิด ก.ม.จร.กว่า 2 แสนราย

พล.ต.ท.ประจวบกล่าวอีกว่า จำนวนอุบัติเหตุสะสมสูงสุดในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี 42 ครั้ง เสียชีวิตสูงสุดในพื้นที่ จ.เชียงราย 10 ราย บาดเจ็บสูงสุดในพื้นที่ จ.สกลนคร 46 ราย โดยมีสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ ขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด ร้อยละ 37.87 และมีพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บสูงสุดจากการไม่สวมหมวกนิรภัย ร้อยละ 58.06 โดยอุบัติเหตุเกิดขึ้นในถนนทางหลวงมากที่สุด ร้อยละ 42.27 สำหรับยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 81.11 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือช่วง 19.00-20.00 น. ส่วนการบังคับใช้กฎหมายจราจร 10 ข้อหาหลัก รวม 200,114 ราย ได้แก่ ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ 59,715 ราย ไม่สวมหมวกนิรภัย 55,420 ราย ขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด 21,432 ราย ตามลำดับ

...

เพิ่มรถใน 3 จังหวัดคนหนาแน่น

วันเดียวกัน นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรม การขนส่งทางบก (ขบ.) เปิดเผยว่า ช่วงที่ประชาชนทยอยเดินทางกลับจากภูมิลำเนาหลังหมดเทศกาลปีใหม่ กรมการขนส่งทางบกได้ประสานกับผู้ประกอบการในการจัดรถโดยสารเพิ่มเติมรองรับประชาชนที่เดินทางกลับในจังหวัดที่มีการเดินทางหนาแน่น ซึ่งได้จัดรถเสริมที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร 3 แห่ง ได้แก่ สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 19 คัน สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดขอนแก่นแห่งที่ 3 จำนวน 24 คัน สถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอหาดใหญ่แห่งที่ 1 (คลองเรียน) สงขลา จำนวน 3 คัน รวมทั้งสิ้น 46 คัน

เสริมรถไฟ 4 ขบวนรถพิเศษ

ขณะที่นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 66 ระหว่างวันที่ 29 ธ.ค.2565-4 ม.ค.2566 ที่ผ่านมา 4 วัน มีประชาชนใช้บริการระบบรางรวม 4,177,729 คน-เที่ยว มากกว่าประมาณการ 95,087 คน-เที่ยว หรือมากกว่าประมาณการ 2.33% นอกจากนี้ในวันที่ 2 ม.ค.มีประชาชนเดินทางกลับกรุงเทพฯ มากที่สุด กรมการขนส่งทางรางได้ประสานผู้ให้บริการระบบรางจัดขบวนรถรองรับให้เพียงพอต่อการเดินทางของประชาชน โดยการรถไฟแห่งประเทศ ไทย ได้จัดขบวนรถพิเศษช่วยการโดยสารเสริมจำนวน 4 เที่ยว วิ่งในเส้นทางสายเหนือและสาย ตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ ขบวน 6 เชียงใหม่-กรุงเทพฯ ขบวน 962 ศิลาอาสน์-กรุงเทพฯ ขบวน 934 อุบลราชธานี-กรุงเทพฯ และขบวน 936 อุดรธานี-กรุงเทพฯ พร้อมเพิ่มตู้พ่วงไปกับขบวนรถที่มีผู้เดินทางจำนวนมาก และผู้ให้บริการรถไฟฟ้าเพิ่มความถี่ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนเย็น และจัดเตรียมขบวนรถเสริม เพื่อให้บริการประชาชนที่จะเดินทางกลับกรุงเทพมหานครได้อย่างเพียงพอ

รถเข้าออกกรุงกว่า 4 ล้านคัน

ด้านนายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า ในช่วงวันหยุดยาวช่วงเทศกาลปีใหม่ 66 มีประชาชนทยอยเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ คาดว่าในวันที่ 2 ม.ค.จะมีปริมาณจราจรขาเข้ากรุงเทพฯ บนทางหลวงสายหลักและมอเตอร์เวย์ 10 เส้นทางรวมทั้งสิ้น 649,897 คัน สำหรับช่วงระหว่างวันที่ 29 ธ.ค.2565-1 ม.ค.2566 มีจำนวนปริมาณจราจรเข้าและออกกรุงเทพมหานคร รวมทั้งสิ้น 4,074,129 คัน แบ่งเป็นฝั่งขาเข้าจำนวน 1,917,727 คัน และฝั่งขาออก จำนวน 2,156,402 คัน สำหรับปริมาณรถที่ใช้บริการทางหลวงพิเศษสายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) ช่วงปากช่อง-สีคิ้ว-ขามทะเลสอ ระยะทาง 64 กิโลเมตร ซึ่งเปิดให้บริการชั่วคราวทิศทางเดียว (วันเวย์) สำหรับรถขาออกระหว่างวันที่ 29-31 ธ.ค.2565 มียอดผู้ใช้บริการสะสม 3 วัน รวม 62,929 คัน และสำหรับรถขาเข้าระหว่างวันที่ 1-4 ม.ค.2566 พบว่าเมื่อวันที่ 1 มกราคม 66 ซึ่งเปิดให้บริการขาเข้าเป็นวันแรก มีรถใช้บริการทั้งสิ้น 16,454 คัน แบ่งเป็นรถที่ขึ้นใช้บริการจากขามทะเลสอ 4,953 คัน และขึ้นใช้บริการจากสีคิ้ว 11,501 คัน โดยช่วงปากช่อง-สีคิ้ว สามารถแบ่งเบาปริมาณจราจรขาเข้าบนทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) บริเวณ กม.75 ช่วงลำตะคอง ได้ 23%

พหลโยธิน-เอเชีย แน่นขนัด

ต่อมาในช่วงบ่ายถึงค่ำ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามเส้นทางหลักในการเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง พบว่าถนนสายหลักจากแต่ละภูมิภาคที่มุ่งหน้าเข้า กทม.ล้วนเต็มไปด้วยยวดยานสารพัดชนิด ทั้งที่มาจากภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ จ.ลำปาง จ.ตาก จ.กำแพงเพชร สู่จังหวัดนครสวรรค์ ด้วยถนนพหลโยธิน มีปริมาณรถเยอะจนติดขัดสะสมเป็นระยะ โดยในตัวเมืองนครสวรรค์ ตั้งแต่บริเวณสี่แยกสะพานเดชาติวงศ์ ไปจนถึงทางแยกค่ายจิรประวัตินครสวรรค์ ปริมาณรถเยอะ ทำให้เกิดการชะลอตัวเป็นระยะ โดยเฉพาะตามจุดตัดทางแยกสัญญาณไฟจราจร และตำรวจต้องเปิดช่องทางพิเศษ บริเวณเชิงสะพานเดชาติวงศ์ และบริเวณถนนพหลโยธินหมายเลข 1 ช่วงหลัก กม.ที่ 331 ส่วนถนนสายเอเชีย จากชัยนาทลงมาถึงช่วงต่างระดับอินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี รถหนาแน่นและมีการเปิดช่องทางพิเศษที่หลัก กม.ที่ 107 เพื่อระบายรถเช่นกัน

รถเต็มถนนมิตรภาพขาเข้า

เช่นเดียวกับถนนมิตรภาพ ยิ่งเย็นปริมาณรถยนต์ยิ่งมาก เนื่องจากพี่น้องชาวภาคอีสานออกเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ โดยเฉพาะบริเวณแยกสัญญาณไฟจราจรในเขตชุมชนต่างๆ เช่น แยกสีดา อ.สีดา แยกบ้านวัด อ.โนนสูง และแยกบ้านโพธิ์ อ.เมืองนครราชสีมา มีปริมาณรถสะสมมาก แต่สภาพการจราจรโดยรวมยังเคลื่อนตัวได้ต่อเนื่อง เพราะมีการเปิดช่องทางพิเศษเป็นระยะ และที่บริเวณถนนสาย 304 จากนครราชสีมา-ปราจีนบุรี โดยเฉพาะช่วงเขตพื้นที่ ต.บุพราหมณ์ อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี ตั้งแต่จุดสกัดผางาม มีปริมาณรถสะสมจากจังหวัดนคร ราชสีมาเป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี ต้องเปิดช่องทางพิเศษให้รถยนต์ของประชาชนสามารถลงเขาได้ 3 ช่องจราจร เป็นการระบายรถที่มีปริมาณมากขึ้นต่อเนื่อง ทำให้การจราจรเริ่มเคลื่อนตัวได้ช้า ทั้งนี้ ยิ่งช่วงเย็นถึงค่ำ ถนนทุกสายที่มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯต่างแน่นขนัดด้วยรถยนต์นานาชนิด ส่งผลให้จราจรติดขัดเป็นระยะ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงและหลายหน่วยงานร่วมบูรณาการช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้เดินทางอย่างเต็มที่

คนแห่กลับทำหัวลำโพงคึกคัก

ส่วนที่สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดจดค่ำ ขบวนรถไฟจากภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือทยอยเข้ามาเทียบชานชาลา ทำให้สถานีรถไฟหัวลำโพงเนืองแน่นไปด้วยผู้คนทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากขบวนรถเสริมพิเศษ 3 ขบวน ได้แก่ ขบวนรถที่ 962 ศิลาอาสน์-กรุงเทพฯ ขบวนรถที่ 934 อุบล ราชธานี-กรุงเทพฯ ขบวนรถที่ 936 อุดรธานี-กรุงเทพฯ มีผู้โดยสารเต็มทุกโบกี้ และประชาชนส่วนใหญ่ยังคงขนสัมภาระและสิ่งของต่างๆ รวมถึงของอุปโภคบริโภคเพื่อมาเป็นเสบียงเพื่อลดค่าครองชีพใน กทม. โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจรถไฟ และเจ้าหน้าที่จิตอาสาคอยดูแลรักษาความปลอดภัย พร้อมอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆให้กับประชาชนที่มาใช้บริการ

บขส.มั่นใจจัดรถเพียงพอ

เช่นเดียวกับที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ หรือหมอชิต 2 ตั้งแต่ช่วงเช้ามืด มีประชาชนจากจังหวัดต่างๆเดินทางกลับเข้ามาถึงกรุงเทพฯอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ น.ส.ระพิพรรณ วรรณพินทุ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบริหารการเดินรถ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยว่า จากตัวเลขการเดินทางกลับเมื่อวันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา ประชาชนเริ่มทยอยเดินทางกันแล้ว โดย บขส.จัดรถโดยสาร (รถ บขส., รถร่วม, รถตู้) รองรับการเดินทางในเที่ยวกลับ จำนวน 3,080 เที่ยว มีผู้โดยสารใช้บริการ 42,171 คน ส่วนเที่ยวไป ได้จัดรถโดยสาร จำนวน 2,792 เที่ยว รองรับผู้โดยสารใช้บริการ 26,442 คน บขส.สามารถจัดรถโดยสารได้เพียงพอ ไม่มีผู้โดยสารตกค้าง ส่วนบรรยากาศการเดินทางในวันที่ 2 ม.ค.มีประชาชนเดินทางกลับเป็นจำนวนมาก จึงได้จัดรถโดยสาร (รถ บขส., รถร่วม, รถตู้) กว่า 4,000 เที่ยว รองรับผู้โดยสารได้กว่า 53,000 คน