“60 ปี” ถือเป็นระยะเวลาที่นานพอจะได้เห็นการเปลี่ยนผ่านของช่วงเวลาประวัติศาสตร์มากมายที่เกิดขึ้น หากมองย้อนกลับไปเมื่อ 60 ปีก่อนในยุคที่อุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียมยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับประเทศไทย คงนึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นการเติบโตของวงการพลังงานไทยตั้งแต่ยุคบุกเบิก จนถึงวันนี้ที่ประเทศไทยสามารถลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศได้ โดยตลอด 6 ทศวรรษที่ผ่านมา บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ไม่เพียงแต่เป็น “ผู้เห็น” การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมพลังงานในแต่ละยุคสมัยเท่านั้น แต่มีบทบาทสำคัญในฐานะ “ผู้อยู่เบื้องหลัง” การวางรากฐานอุตสาหกรรมปิโตรเลียมของประเทศไทย โดยจากประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมาตลอด 60 ปี และความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีในฐานะองค์กรระดับโลกนั้น ช่วยเสริมแกร่งให้เชฟรอนพร้อมเดินหน้าสู่ฟ้าใหม่ กับพันธกิจจัดหาพลังงานที่ตอบโจทย์ทั้งความยั่งยืน และสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทยต่อไปในอนาคต
Journey to the success เส้นทาง 6 ทศวรรษสู่บริษัทพลังงานเคียงคู่คนไทย
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2505 นับเป็นการเดินทางก้าวแรกในประเทศไทยของเชฟรอน โดยถือเป็นบริษัทพลังงานแห่งแรกที่ได้รับสัมปทานสำรวจปิโตรเลียมในประเทศจากรัฐบาล ซึ่งการสำรวจในช่วงยุคบุกเบิกนั้นเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ด้วยความมั่งมุ่นศึกษาสภาพธรณีวิทยาที่ซับซ้อนของอ่าวไทยจนเกิดความเชี่ยวชาญ และการไม่หยุดยั้งพัฒนาเทคโนโลยีที่สอดรับกับสภาพพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้อีกสิบเอ็ดปีต่อมา เชฟรอนได้ประสบความสำเร็จในการค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเป็นครั้งแรก และได้เริ่มพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติเชิงพาณิชย์ในปี 2524 ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสู่ยุค “โชติช่วงชัชวาล” ที่ทำให้ประเทศไทยสามารถพึ่งพาตนเองด้านพลังงานได้มากขึ้น พร้อมทั้งทำให้เกิดการจ้างงาน และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญรุดหน้าอย่างก้าวกระโดด
โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเชฟรอนสามารถผลิตก๊าซธรรมชาติรวมกว่า 17.3 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต รวมทั้งผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเหลวรวมกว่า 1,065 ล้านบาร์เรล (ข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2565) เพื่อนำไปใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าและเป็นเชื้อเพลิงให้กับภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือนของประเทศ ตลอดจนเป็นพลังงานที่สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิตของคนไทยนับล้าน
นายชาทิตย์ ห้วยหงษ์ทอง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวถึงการเดินทางครั้งใหม่ว่า “เชฟรอน ได้ขับเคลื่อนด้วยแรงพลังของพนักงานที่ 99% เป็นคนไทย และบริหารโดยผู้บริหารคนไทยเป็นหลัก อีกทั้งเป้าหมายหลักของทศวรรษต่อไป เรามุ่งมั่นจัดหาพลังงานที่ต้องตอบโจทย์ทั้งความยั่งยืนและความมั่นคงทางพลังงาน โดยเดินหน้าพัฒนาศักยภาพของแหล่งพลังงานที่มีอยู่แล้ว และปลดล็อกศักยภาพแหล่งพลังงานใหม่ อาทิ การต่อระยะเวลาการผลิตของแหล่งก๊าซธรรมชาติไพลินในอ่าวไทย การทบทวนการดำเนินโครงการผลิตปิโตรเลียมแหล่งอุบล การพัฒนาปิโตรเลียมในพื้นที่คาบเกี่ยวไทย-กัมพูชา (TCOCA) และล่าสุด เชฟรอนได้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G2/65 ในการประมูลสิทธิปิโตรเลียมครั้งที่ 24 ด้วย พร้อมกันนั้น ยังมุ่งพัฒนาเทคโนโลยี ควบคู่ไปกับการสร้างประโยชน์ให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมต่อไป ด้วยหัวใจหลักของการเชื่อในพลังคนที่มุ่งสร้างผลการดำเนินงานชั้นแนวหน้า และพร้อมร่วมทำงานกับองค์กรพันธมิตรทุกภาคส่วนที่เดินเคียงข้างเรามาตลอด 60 ปี”
Journey of the innovation เส้นทางสู่ผู้นำเทคโนโลยีที่สร้างบรรทัดฐานใหม่ให้วงการพลังงาน
เชฟรอนไม่เคยหยุดยั้งในการพัฒนาและนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในประเทศไทย เพื่อเอาชนะสภาพทางธรณีวิทยาที่ซับซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย พร้อมคำนึงถึงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเทคโนโลยีสำคัญมากมายที่เชฟรอนได้พัฒนา อาทิ การขุดเจาะหลุมน้ำมันในแนวนอน (horizontal monobore oil well) หลุมแรกในอ่าวไทย รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีในการขุดเจาะ จากเดิมที่ใช้เวลาขุดหลุมละกว่า 60 วัน สามารถลดเหลือเพียง 6 วัน เป็นต้น
ล่าสุด บริษัทฯ ได้จัดตั้งศูนย์ควบคุมการปฏิบัติงานของแท่นผลิต ที่เรียกว่า “Integrated Operations Center” หรือ IOC ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่มีการนำ Control room นอกชายฝั่งของแหล่งผลิตกลางอ่าวไทยทั้ง 3 แห่ง คือ เบญจมาศ ไพลินเหนือ และไพลินใต้ มารวมไว้ที่สำนักงานกรุงเทพฯ ทำให้สามารถควบคุมและสั่งการระบบการผลิตซึ่งห่างออกไป 300 กิโลเมตรได้ โดยคนบนฝั่งสามารถทำงานร่วมกับพนักงานนอกชายฝั่งได้แบบ real-time ตลอด 24 ชั่วโมง โดยถือได้ว่าเป็นการสร้างโมเดลการทำงานรูปแบบใหม่ที่จะเป็นจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียมต่อไปในอนาคต
Journey to the sustainable world เส้นทางสู่สังคมคาร์บอนต่ำและอนาคตของสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน
สำหรับทิศทางต่อจากนี้ เชฟรอนมุ่งขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และลดความเข้มข้นของคาร์บอนในการดำเนินงาน พร้อมมองหาพลังงานที่สะอาดขึ้น สอดคล้องกับทิศทางพลังงานโลก อีกทั้งในฐานะองค์กรระดับโลก เชฟรอนยังได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานกลาง โดยเฉพาะ Chevron New Energies (CNE) ทำให้สามารถเข้าถึงทั้งองค์ความรู้ ประสบการณ์ และเทคโนโลยีระดับโลกด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ตลอดจนมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีตอบโจทย์ความยั่งยืน อาทิ เทคโนโลยี Carbon Capture, Utilization and Storage หรือ CCUS นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการวางแผนนำร่องใช้พลังงานหมุนเวียน โดยติดตั้งโซลาร์เซลล์หรือนำพลังงานลมมาใช้ที่แท่นผลิตในอนาคตอันใกล้นี้อีกด้วย
“เราเชื่อว่าทิศทางของโลกต่อจากนี้ จะมุ่งหน้าสู่การมองหาพลังงานที่สะอาดขึ้น โดยเราพร้อมสนับสนุนประเทศไทยอย่างเต็มที่ในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ผ่านการเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยี และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมในทุกย่างก้าว เราจึงตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ทั่วโลกภายในปี 2593 โดยการที่จะเดินหน้าสู่ความสำเร็จได้นั้น ปัจจัยด้านนโยบายภาครัฐและความร่วมมือจากพันธมิตรหลากหลายภาคส่วน เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่ช่วยเร่งกระบวนการต่างๆ ให้บรรลุเป้าหมายได้” นายชาทิตย์ กล่าว
นอกจากนี้ เชฟรอนยังได้ปรับนโยบายในการลดปริมาณความเข้มข้นของคาร์บอนจากการปฏิบัติงาน ผ่านกลยุทธ์ Clean Operations Strategy ใน 3 ด้าน ได้แก่ Energy Efficiency - ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์เครื่องจักร Flare and Vent – ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรงด้วยกระบวนการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และ Feasibility Study – ศึกษาความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีมาใช้จัดหาพลังงานที่สะอาดขึ้น
Journey to uplift the community เส้นทางพัฒนาคุณภาพชีวิตสังคมไทย
สำหรับเส้นทางตลอด 60 ปีที่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือเจตนารมณ์ของเชฟรอนในการดำเนินธุรกิจควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย โดยโครงการส่วนใหญ่เชฟรอนได้ทำงานร่วมกับพันธมิตรในระยะยาว เพราะทุกเส้นทางจะไปถึงจุดหมายไม่ได้หากขาดพลังแห่งการร่วมแรงร่วมใจในทุกภาคส่วน
ทั้งนี้ เชฟรอนได้ดำเนินกว่าหลายร้อยโครงการเพื่อสังคมร่วมกับภาครัฐและพันธมิตรในท้องถิ่น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านต่างๆ โดยใช้กลยุทธ์ 4 E’s คือการศึกษา (Education) การอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม (Environment & Energy Conservation) การพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต (Economic Development) และการส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมเพื่อสังคม (Employee Engagement)
Journey of the Legacy
ทุกเส้นทางของเชฟรอนตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ได้มาบรรจบบนถนนแห่งความสำเร็จสายเดียวกันที่ทำให้ตลอด 6 ทศวรรษ เปรียบเสมือน Journey of the Legacy ที่ได้ร่วมสนับสนุนความมั่นคงทางพลังงาน และสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับประเทศไทย การเดินทางสู่ทศวรรษที่ 7 ในวันนี้ เชฟรอนมีความพร้อมร่วมสร้างความมั่นคงทางพลังงานเคียงคู่ประเทศไทย พร้อมส่งมอบพลังงานที่สะอาดขึ้น อย่างปลอดภัย และเชื่อถือได้ ควบคู่ไปกับการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของสังคมในทุกย่างก้าวต่อไป และก้าวสู่เส้นทางความสำเร็จครั้งใหม่ที่มั่นคงและยั่งยืน