เปิดปากกับภาคภูมิ ฟังความ 2 ฝ่าย มูลนิธิ "ครูยุ่น" รังแกเด็กจริงไหม? หลังมีภาพเด็กถูกตี อ้างเป็นการทำโทษตามระเบียบ 

จากกรณีโลกออนไลน์แชร์คลิป นายมนตรี สินทวิชัย หรือครูยุ่น เลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองเด็ก (บ้านครูยุ่น) อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ทำโทษใช้ไม้ตีเด็กในมูลนิธิฯ และใช้คำพูดรุนแรง ต่อมามีกลุ่มมูลนิธิเส้นด้ายไปแจ้งความที่ สภ.อัมพวา ให้ดำเนินคดีครูยุ่น ข้อหาทำร้ายร่างกายและจิตใจเด็ก และใช้แรงงานเด็กโดยผิดกฎหมาย ก่อนจะพาตำรวจไปช่วยเหลือกลุ่มเด็กที่ถูกทำร้ายออกมาได้ 8 คน

ต่อมา "ครูยุ่น" ได้มอบตัวรับทราบข้อหา โดยให้การปฏิเสธ ก่อนได้ปล่อยตัวชั่วคราวไม่ต้องประกัน เจ้าตัวเปิดใจยอมรับตีเด็กจริง เพราะมีกฎระเบียบคาดโทษไว้แล้ว แจงเหตุเกิดจากเด็กโตพาน้องลงเล่นน้ำในคลอง ทั้งที่ว่ายน้ำไม่เป็น ครวญกลายเป็นปิศาจไปแล้วในสายตาคนเสพสื่อ 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ในรายการ "เปิดปากกับภาคภูมิ" โดย ภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ อยากให้ฟังความ 2 ฝ่ายว่า มูลนิธิ "ครูยุ่น" รังแกเด็กจริงไหม? ซึ่งเป็นการพูดคุยกับ ดร.อังสนา เนียมวณิชกุล, เต็มสินี โสภาสมสวัสดิ์ และพีรพล กนกวลัย ตัวแทนจากมูลนิธิเส้นด้าย และ น.ส.บี (นามสมมติ) พี่สาวของเด็กในมูลนิธิบ้านครูยุ่น

...

ดร.อังสนา เปิดเผยว่า มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งไปจัดกิจกรรมที่มูลนิธิ ก่อนพบว่า มีเด็กบางคนไม่สนุกสนานกับการทำกิจกรรม จึงได้แยกกลุ่มออกมาพูดคุย จนได้ข้อมูลว่าถูกทำร้ายร่างกาย จึงร้องมาที่เพจเส้นด้าย ซึ่งหลังรับข้อมูลมา เราก็ไม่ได้เชื่อทันที ก่อนให้ทีมภาคสนามลงพื้นที่ตรวจสอบ และพบว่ามีข้อมูลตรงกับที่นักศึกษาให้มา ขนาดพระในวัดที่อยู่บริเวณดังกล่าวก็ให้ข้อมูลด้วยว่า เห็นเด็กมานั่งร้องไห้ รวมถึงว่ายน้ำข้ามมาที่วัด เพื่อมาขอความช่วยเหลือ เนื่องจากโดนทำร้ายมา

ซึ่งวันที่ลงพื้นที่ เราไม่ได้เข้าไปคุยกับมูลนิธิฯ เพราะไม่ใช่หน้าที่ แต่เราได้ประสานต่อไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่อตามกฎหมาย เพื่อให้เข้าไปตรวจสอบเรื่องนี้

ตอนนั้นยอมรับว่าตกใจมาก เพราะสิ่งที่ได้รับฟัง มันยิ่งกว่าในคลิป เพราะเด็กๆ บางคนบอกว่า ถูกกระทำต่อเนื่องมาหลายปี เมื่อก่อนไม่มีโทรศัพท์ ทำให้ไม่มีการถ่ายคลิปออกมาให้สังคมได้รู้

ขณะที่ คุณบี บอกว่า น้องตัวเองอยู่ที่มูลนิธิฯ ตั้งแต่ 2 ขวบ จนตอนนี้ 10 ขวบ เมื่อก่อนเด็กๆ ไม่มีโทรศัพท์ใช้ แต่ตอนนี้เด็กๆ ก็แอบใช้โทรศัพท์ที่ผู้ปกครองเอามาให้ แต่อย่าให้จับได้ เพราะไม่อย่างนั้นจะโดนทุบโทรศัพท์ทิ้ง และโดนทำโทษ ซึ่งมูลนิธิฯ ให้เหตุผลว่า หากมีโทรศัพท์ อาจจะมีเรื่องเพศ หรือถูกหลอก และเรื่องยาเสพติดเข้ามา ซึ่งเขาไม่อยากให้เด็กรับรู้ 

ซึ่งทาง มูลนิธิเส้นด้าย มองว่า เหตุผลนี้ฟังไม่ขึ้น เนื่องจากเด็กต้องเรียนรู้การใช้เทคโนโลยี การทำเช่นนี้ก็เหมือนปิดกั้นข้อมูล



ด้าน นายแก้วสรร อติโพธิ ประธานมูลนิธิคุ้มครองเด็ก เปิดเผยว่า ตนเข้ามาช่วยดูแลมูลนิธิตั้งแต่ปี 2547 เป็นไปตามที่ครูยุ่นให้ปากคำว่า เป็นการทำโทษ ไม่ใช่การทำร้าย ส่วนเรื่องที่ให้เด็กไปทำงาน ไม่ใช่เป็นการใช้แรงงานเด็ก 

ส่วนเรื่องโทรศัทพ์มือถือนั้น พบว่า ก่อนหน้านี้มีเด็กใช้มือถือจนไม่ยอมนอน ไม่ไปโรงเรียน เป็นเรื่องของวินัย ทำให้ต้องห้ามใช้ แต่ไม่ใช่ว่าห้ามมีเพราะกลัวการถ่ายคลิปออกมา

ขณะที่คลิปที่ออกมา ตนมองว่าเป็นการทำโทษ ส่วนที่ว่าทำไมต้องตี เพราะเคยเตือนแล้ว เพราะอยู่ใกล้แม่น้ำแม่กลอง ซึ่งเราห้ามลงเล่นน้ำ ครูพี่เลี้ยงมาเตือนก็ไม่ขึ้น เอารุ่นน้องที่ว่ายน้ำไม่เป็นลงเรือไปแล้ว ครูยุ่นรู้สึกว่าเขาก็เป็นเหมือนพ่อที่ต้องดูแลลูก เพราะเด็กเล็กหากตกน้ำ นาทีเดียวก็ตายแล้ว ซึ่งเรื่องนี้เด็กก็ให้ปากคำกับอัยการหมดแล้ว พูดมากไปก็แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ถ้าใครสงสัยอะไรก็เข้ามาถามกันได้ วิธีฟังเด็ก เชื่อทุกอย่าง แล้วเข้ามาลุยไม่ได้ แต่อยากให้ฟังทั้งสองฝ่าย นอกจากเด็ก ก็ยังมีครูพี่เลี้ยง หากสุดท้ายศาลสั่งไม่ผิด แต่มูลนิธิฯ เจ๊งไปแล้ว ใครจะรับผิดชอบ

ตอนนี้เด็ก 40 คนกำลังจะสอบ แล้วพวกคุณเข้ามาทำลายอนาคต ถ้ามันไม่จริง ใครจะรับผิดชอบ ซึ่งงานมันหนักมากๆ เด็กสมัยนี้ก็ดูแลยาก 

เมื่อถามว่า เคยได้ยินข้อมูลที่เด็กอ้างว่า ครูยุ่นเคยโมโหต่อยปากเด็กแตก นายแก้วสรร บอกว่า ผมไม่รู้ แต่เรื่องนี้ก็ควรไปถามครูยุ่นให้เป็นเรื่องเป็นราว อย่าฟังเด็กฝ่ายเดียว ตอนนี้ห่วงเด็กที่ไม่ได้เรียน ไปไหนก็ไม่รู้ ผู้ปกครองมาตามที่ศูนย์ฯ ก็บอกไม่ได้ว่าเด็กไปไหน ซึ่งตนยืนยันได้ว่าตั้งแต่เป็นประธานฯ มา ไม่เคยเห็นการทำรุนแรงกับเด็ก หรือใช้แรงงานเด็ก ถ้ามีก็จัดการไปแล้ว อีกอย่างการทำร้าย กับ การลงโทษ ไม่เหมือนกัน มีการชี้แจงอธิบายทุกอย่าง

นายแก้วสรร บอกด้วยว่า เด็กถูกรังแก ถูกทอดทิ้งจากสังคมมันเยอะ ครูยุ่น หรือตน ก็เข้าไปช่วย แต่ถูกแทรกแซงแบบนี้คงทำงานต่อกันไม่ได้ หลังจากนี้ก็คงต้องประชุม ปรึกษากัน เพราะเจอขนาดนี้ก็คงไม่ไหว พูดง่ายๆ คือ เข็ด หาใครมาแทนมั้ย หรือจะรับเฉพาะเด็กเล็ก คนเคยศรัทธาช่วยเหลือก็หายไปทั้งหมด อยากให้ฟังหูไว้หู

หลังจากที่ นายแก้วสรร ชี้แจงแล้ว ทางมูลนิธิเส้นด้ายบอกว่าเราได้ประสานไปยังหน่วยงานต่างๆ ซึ่งเราไม่ได้บุกเข้าไป โดยเราเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ แต่ทางครูเป็นคนเชิญเราเข้าบ้านเอง ซึ่งทาง พม.มีการพูดคุยผ่านสหวิชาชีพ ก่อนจะถามว่า ใครประสงค์จะอยู่หรือไม่ เพื่อคัดแยกเด็กออกมา นำไปอยู่ในความดูแล ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการคุ้มครองเด็ก 

ซึ่ง พม.จะนำเด็กไปที่เซฟเฮาส์ ทางเส้นด้ายก็ไม่รู้ว่าเอาเด็กไปไว้ไหน แต่เด็กจะได้เรียนแน่นอน ขณะที่ทางญาติเด็กหลายคนก็ทราบว่า พม.พาเด็กไปที่ไหน

...



น.ส.บี บอกว่า เมื่อวานที่เราไปตามหาน้อง เขาบอกแค่ว่า เด็กอยู่ในที่ปลอดภัย อยู่ในความดูแล และอยากให้อยู่ตรงนี้ก่อน แต่ไม่บอกว่าอยู่ที่ไหน ซึ่งหากเรียบร้อยแล้วจะติดต่อกลับไป

ในฐานะที่น้องอยู่ในมูลนิธิฯ ตอนเราเห็นคลิป ตอนแรกตกใจ เพราะเราไปมาหาสู่กับน้อง ก็มองว่าเบื้องหน้าดูอบอุ่น แต่หลังจากที่ฟังจากน้องก็แอบตกใจ และไม่คิดว่าจะมีคลิปออกมา โดยเชื่อว่าน่าจะมีการทำโทษที่มากกว่าในคลิป โดยการทำโทษที่ได้ยินมาจากเพื่อนของน้องอีกทีคือ ต่อยปาก จับกดน้ำ แต่ไม่ทราบว่าสาเหตุจากอะไร 

นอกจากนี้ที่ได้ยินมาจากเด็กๆ คือ ห่วงน้องคนที่ถ่ายคลิปแล้วส่งออกมามาก เพราะหลายคนจะมองว่าหักหลังครูยุ่นหรือเปล่า ซึ่งตัวน้องที่ถ่ายคลิปเองก็ค่อนข้างที่จะกลัว และคอยถามเพื่อนตลอดว่าตัวเองทำถูกไหม 

เมื่อถามว่า หากไม่ให้มีการทำโทษ จะทำอย่างไรกับเด็ก ทางตัวแทนมูลนิธิเส้นด้าย มองว่า การจะสอนเด็ก ไม่ใช่การใช้ความรุนแรงโต้ตอบ และหากเห็นในคลิป ไม่ใช่การตีเด็กด้วยความรัก ตีไปใช้คำหยาบไป ไม่รู้ว่าจะทำให้เด็กสำนึกตรงไหน ซึ่งในคลิปเป็นการใช้ท่อนเหล็กตี ถ้าคนเป็นพ่อเป็นแม่ เราต้องให้ความรักกับลูกมากที่สุด ถึงจะทำให้เขาเปลี่ยนพฤติกรรม.


...

ติดตามรายการ "เปิดปากกับภาคภูมิ" ได้วันจันทร์-วันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 15.30 น. เป็นต้นไป ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32.