ส้มแก้ว คล้ายส้มโอผสมกับส้มเขียวหวาน ผลกลมแป้น เนื้อเยอะ เนื้อฉ่ำ รสชาติหวานอมเปรี้ยวนับเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมบริโภค

มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย มีส่วนช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย อีกทั้งยังเป็นผลไม้มงคล ตามความเชื่อและความนิยมของชาวไทยเชื้อสายจีนในการนำไปไหว้บรรพบุรุษในเทศกาลตรุษจีน สารทจีน และวันขึ้นปีใหม่

จังหวัดสมุทรสงครามเป็นแหล่งปลูกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย และทางจังหวัดได้เตรียมผลักดันการขึ้นทะเบียนส่ิงบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) สร้างมูลค่าเพิ่มควบคู่กับการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัด

ข้อมูลสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) พบว่า ส้มแก้วใน จ.สมุทรสงคราม มีพื้นที่ปลูกรวม 60 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ใน ต.บางสะแก อ.บางคนที เกษตรกรผู้ปลูก 36 ครัวเรือน

ด้วยเป็นไม้ผลต้องการแสงแดดเพียงร้อยละ 50 เนื่อง จากส้มแก้วต้องอาศัยร่มเงาจากไม้ผลชนิดอื่นในการเจริญเติบโต เกษตรกรจึงนิยมปลูกผสมผสานกับไม้ผลอื่นๆ เช่น ลิ้นจี่ และส้มโอ ปลูกได้เฉลี่ยไร่ละ 20 ต้น

จากการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์การผลิตส้มแก้วของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 10 จังหวัดราชบุรี (สศท.10) พบว่า เกษตรกรสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปีในพื้นที่มีน้ำเพียงพอ หลังจากปลูกได้ประมาณ 2-3 ปี ส้มแก้วจะเริ่มติดผลและจะให้ผลอย่างเต็มที่ประมาณปีที่ 5-7

ใน 1 ปี ส้มแก้วจะให้ผลผลิต 1 รุ่น ในช่วงเดือนพฤศจิกายน- ธันวาคม ให้ผลผลิตเฉลี่ยไร่ละ 1,250 กก. ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยอยู่ที่ กก.ละ 50 บาท

ผลผลิตส่วนใหญ่ ร้อยละ 66 จำหน่ายให้กับผู้ประกอบการ พ่อค้าท้องถิ่น และตลาดในจังหวัด ส่วนผลผลิต ร้อยละ 34 จำหน่ายโดยตรงที่หน้าสวน แผงขาย และช่องทางออนไลน์ของเกษตรกรเอง

ปัจจุบันเกษตรกรบางส่วนได้เริ่มนำเทคโนโลยีการใช้ถุงกระดาษคาร์บอนห่อผลผลิต เพื่อป้องกันการเจาะและเข้าทำลายผลผลิตจากผีเสื้อมวนหวาน ช่วยลดการร่วงของผลผลิต ทำให้ผลผลิตมีคุณภาพ ซึ่งได้ผลดีกว่าการห่อด้วยใบตองแห้งแบบเดิม

...

เกษตรกรที่ใช้ถุงกระดาษคาร์บอนห่อผลผลิต จะได้ผลผลิตเฉลี่ยไร่ละ 1,250 กก. ขณะที่เกษตรกรที่ใช้การห่อด้วยใบตองแห้งจะมีผลผลิตเฉลี่ยไร่ละ 1,150 กก.

สะ-เล-เต