นับเป็นวันดี 19 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมาบริษัท เอฟจีพี (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ FGP Thailand ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่มผู้พัฒนาสายพันธุ์ชาวไทย กับ Frontier Genetics Partners LLC., จากประเทศสหรัฐอเมริกา โดย FGP Thailnd ดำเนินการขึ้นทะเบียนสายพันธุ์กัญชงกับกรมวิชาการเกษตรรวมทั้งสิ้น 11 สายพันธุ์ ได้สำเร็จ โดยแบ่งเป็น CBD ประเภท Photoperiod จำนวน 8 สายพันธุ์ CBD, ประเภท daylight neutral (Auto Flowering) 1 สายพันธุ์, และ Hemp Seed Oil อีก 2 สายพันธุ์
นับเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่มีสายพันธุ์เมล็ดกัญชง CBD มาตรฐานระดับโลกผ่านการยอมรับและได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมวิชาการเกษตร ซึ่งบริษัทฯ ตั้งเป้าจะขออนุญาตพัฒนาและเพาะพันธุ์ให้มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย ภายในศูนย์วิจัยและเพาะพันธุ์เมล็ดพันธุ์ FGP (FGP Genetics Research & Breeding Center) หรือ GRB Center ตั้งอยู่ที่ อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ซึ่งบริษัทฯ ทุ่มงบคว้าลิขสิทธิ์ผลิตสายพันธุ์และเทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพันธุ์และพัฒนาศูนย์ดังกล่าว ด้วยเงินลงทุนรวมกว่า 400 ล้านบาท โดยเริ่มมาตั้งแต่ปลายปี 2564 โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มเพาะพันธุ์ได้ภายในไตรมาส 4 ของปี 2565 นี้
“จากนี้บริษัทฯ จะเร่งขออนุญาตเพื่อให้สามารถเดินหน้าเพาะพันธุ์ และ ผลิตเมล็ดพันธ์ุ CBD ให้มีคุณสมบัติที่ดีกว่าและเหมาะกับการปลูกในประเทศไทยมากกว่าเมล็ดที่มีถิ่นกำเนิดจากต่างประเทศ ทั้งในด้านความทนทาน และการให้สาร CBD ในปริมาณสูง เพื่อช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมกัญชง และ CBD ของประเทศไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกด้วยคุณภาพและต้นทุนที่ดีขึ้นอย่างมาก ลดการพึ่งพาการนำเข้าในภาวะราคาค่าขนส่งที่อยู่ในช่วงวิกฤติ ซึ่งคาดว่าจะปรับตัวรุนแรงต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปี” นาย อติพร บุษกร กรรมการผู้จัดการบจก. เอฟจีพี (ไทยแลนด์) กล่าว
ด้วยต้นทุนต่อเมล็ดที่ลดลงอย่างมาก คุณภาพที่สูงขึ้น และรวมถึงคุณสมบัติความทนทานต่อสภาพแวดล้อมของไทย นับเป็นหัวใจหลักที่จะทำให้ผู้ประกอบการเพาะปลูกและสกัด CBD ระดับอุตสาหกรรมในไทยจะมุ่งหันมาให้ความสนใจเมล็ดที่มีถิ่นกำเนิดในบ้านเราเอง
ยังไม่รวมถึงการลดความเสี่ยงในภาวะวิกฤติด้านราคาค่าขนส่ง และสภาวะอากาศแบบสุดขั้วที่อาจกระทบต่อผลผลิตในแถบอเมริกาเหนือและยุโรปอย่างรุนแรง โดยบริษัทฯ มีนโยบายส่งเสริมการสร้างงานให้แก่เกษตรกรไทยโดยเฉพาะการลดการจ้างต่างชาติยกเว้น ผู้เพาะพันธ์ุ (Breeder) และผู้เชี่ยวชาญที่มาถ่ายทอดเทคโนโลยี
มากไปกว่านั้น เมล็ดพันธ์ุจะมีแหล่งที่มาชัดเจน ตรวจสอบได้ และสามารถพิสูจน์ตรวจรับกันตรงจากแหล่งผลิต โดยไม่ต้องกังวลกับการสวมด้วยเมล็ดที่ไม่ได้รับการรับรอง โดยทางศูนย์ตั้งใจจะมีการเปิดให้เยี่ยมชม แลกเปลี่ยน ความรู้ know how และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวิทยาศาสตร์การเกษตรที่สำคัญแห่งหนึ่งของภาคเหนือ ซึ่งมีแผนจะเปิดให้เยี่ยมชมได้ภายในสิ้นปี 2565 นี้! www.fgpthailand.com