ท่ามกลางความโกลาหลปั่น ป่วนจาก “สถานการณ์โควิด-19 ระบาด” กระทบเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วง “ผู้คนไม่น้อยตกงาน” พยายามดิ้นรนหารายได้ทดแทนส่วนขาดหายช่วยให้ตัวเองอยู่รอดต่อไป
แต่ช่วงวิกฤตินี้ก็มี “ผู้พลิกวิกฤติเป็นโอกาสหาอาชีพทางออกใหม่” จนมองเห็นแหล่งสร้างรายได้ที่เกิดจาก “การเลี้ยงแพะแกะ ชื่อว่า ฟาร์ม KT FARM” ในพื้นที่ ต.น้ำอ้อม อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ที่เป็นของ พ.ต.ท.ไพรวัลย์ อายุวงษ์ รอง ผกก.4 บก.สอท.3 บช.สอท.ใช้ช่วงเว้นว่างงานข้าราชการตำรวจมาทำอาชีพเสริมนี้
“ทีมข่าวสกู๊ปหน้า 1” มีโอกาสเยี่ยมชมฟาร์มรายล้อมด้วยธรรมชาติวิถีชีวิตลูกทุ่งล้อมรอบด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจีแปลงใหญ่บนที่ดิน 21 ไร่ ไว้ใช้เป็นอาหารให้แพะราว 180 ตัวนี้ พ.ต.ท.ไพรวัลย์ เล่าว่า แรกเริ่มในการก้าวเข้าสู่ “อาชีพตำรวจ” มีแรงผลักดันจาก “ความเป็นลูกชาวไร่ชาวนา” ต้องเผชิญความยากลำบากสารพัด
...
ยิ่งเวลา “เจ็บป่วยลำบากมาก” จนอยากหาสวัสดิการให้ “พ่อแม่เบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล” มุ่งมั่นตั้งใจเรียนสอบผ่านเข้า “โรงเรียนนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 58” จบมาบรรจุในตำแหน่งแรกพนักงานสอบสวน สภ.เมืองศรีสะเกษ ปัจจุบันเป็นรอง ผกก.4 บก.สืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 3 บช.สอท.
ปฏิบัติงานในเขตพื้นที่ภาคอีสานประจำอยู่ทุกจังหวัด “รองรับดูแลพี่น้องประชาชน” ถูกหลอกลวงบนออนไลน์ เช่นไม่นานนี้ “ผู้เสียหายอยู่ใน จ.ชัยภูมิ” ถูกหลอกโอนเงินแล้วตำรวจไซเบอร์ก็ลงพื้นที่สอบปากนำข้อมูลมาประชุมวิเคราะห์ผ่านวิดีโอคอลจนทราบจุดกบดานคนร้าย และนัดกำลังพลไปจุดใกล้เคียงเข้าจับกุมดำเนินคดี
นั่นเพราะทุกวันนี้ “คนร้าย” ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือหลอกลวงเหยื่อโดยไม่ต้องเจอหน้ากันเหมือนก่อนแล้ว หน้าที่ตำรวจไซเบอร์ก็ไม่เคยละความพยายามสามารถติดตามจับกุมดำเนินคดีได้ต่อเนื่องเช่นกัน
ดังนั้นตั้งแต่เข้ามาอยู่ “หน่วยตำรวจไซเบอร์” มีโอกาสทำคดีสำคัญเกี่ยวกับอาชญากรรมทางไซเบอร์เยอะมาก เช่น ปลายปีที่แล้วสืบสวนจับกุมคนร้ายแฮ็กเว็บไซต์ศาลรัฐธรรมนูญ คดีลักลอบเจาะระบบข้อมูลฝ่ายความมั่นคง คดีโรแมนซ์สแกมเมอร์ลวงเหยื่อโอนเงิน ที่มักมีชาวบ้านตกเป็นเหยื่อเดือดร้อนเยอะมากทุกวัน
ย้อนกลับมาใน “อาชีพตำรวจก็เงินเดือนน้อย” ไม่พอใช้จ่ายค่าเลี้ยงดูครอบครัวด้วยซ้ำ หลายคนต้องกู้เงินจากธนาคารออมสินจนมีปัญหาหนี้สินมากเกินเงินเดือนไม่พอใช้ และไม่มีหนทางหาเงินมาใช้หนี้เงินกู้ได้
สุดท้ายหันไป “กู้เงินสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจ” มาโปะหนี้ธนาคารออมสินแล้วก็ไม่สามารถแก้หนี้ได้ กลับสร้างภาระเพิ่มขึ้นเป็นปัญหาหนี้พัวพันมากขึ้นจนต้องถูกฟ้องล้มละลายหลายคนอยู่ขณะนี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มานั่งทบทวนถอดบทเรียนสิ่งที่เกิดขึ้นนี้จนมี “แนวคิดต้องทำงานอาชีพเสริมมิเช่นนั้นอยู่ไม่รอดแน่” เริ่มจากหลังเวลาว่างช่วงเลิกงานแล้วออกมาขายข้าวเหนียวนึ่ง ขายถุงละ 5-10 บาท ในตลาดหนองใหญ่ อำเภอเมืองขอนแก่น โชคดีได้รับความสนใจจากพี่น้องประชาชนเข้ามาอุดหนุนเยอะมาก
ยิ่งมีคนทราบว่า “เป็นตำรวจสืบสวนชุดคลี่คลายคดีเปรี้ยวหั่นศพ” ต่อมาติดตามจับกุมได้หลังหลบหนีไปประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้มีลูกค้ามาอุดหนุนอย่างล้นหลาม สามารถสร้างกำไรวันละ 1 หมื่นบาทด้วยซ้ำ
เพราะ “ราคาข้าวสารถูก” ถ้านำมาแปรรูปเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นมักจะเพิ่มมูลค่าสร้างกำไรได้ดีงาม จนกลายเป็นตัวอย่างต่อ “ข้าราชการตำรวจหลายคน” นำไปต่อยอดมีแนวคิดทำงานเสริมอย่างอื่นตามที่ตัวเองถนัดชื่นชอบ ด้วยการใช้เวลาว่างมาหารายได้เข้าครอบครัว โดยไม่กระทบภารกิจงานข้าราชการประจำ
...
กระทั่ง “โควิด-19 ระบาด” ส่งผลกระทบต่อยอดขายข้าวเหนียวนึ่งหายไป 80% เหลือกำไรวันละ 1-2 พันบาท แล้วปลายปีที่แล้วเริ่มมียอดขายกระเตื้องขึ้น ทว่าก็กลับมาเจอ “สายพันธุ์โอมิครอนแพร่ระบาดหนัก” ทำให้รายได้หดถดถอยหายไปอีกจนต้องปิดร้านในช่วงก่อนหน้านี้ชั่วคราว
แล้วช่วงวิกฤตินี้ “ผู้บังคับบัญชา” มีคำสั่งให้ตำรวจทุกนายทำงาน Work From Home ทำให้มีเวลาอยู่บ้านแล้วเป็นจังหวะพลิกโอกาสทำฟาร์มเลี้ยงแพะแกะบนที่ดิน 21 ไร่ ที่เคยศึกษาเรียนรู้วิธีการเลี้ยงมาก่อนแล้วแถมยังต้องศึกษากลไกตลาดเลี้ยงแพะแกะแบ่งเป็น “ตลาดบน” เน้นขายพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ราคาอยู่ที่ 3-4 หมื่นบาทต่อตัว
ในส่วน “ตลาดล่าง” เลี้ยงขายเนื้อกิโลกรัมละ 140 บาท แต่ด้วยความสงสารไม่อยากให้คนซื้อนำไปฆ่าขายเนื้อก็ตัดสินใจเลือก “เลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ขาย” ที่ต้องใช้สายพันธุ์ดี มีพันธุกรรมเด่นเป็นที่ต้องการของตลาด
ทำให้ในปี 2563 เริ่มปรับปรุงพื้นที่ฟาร์มทำรั้วกันพื้นที่ สร้างโรงเรือนสองชั้น และปลูกหญ้าเองไม่ต้องซื้อเป็นการลดต้นทุนแล้ว “ซื้อพ่อพันธุ์แม่พันธุ์แพะเบอร์ 100 จำนวน 20 ตัว” นำเข้ามาจากแอฟริกาที่เป็นแพะพันธุ์เนื้อแท้ดั้งเดิม ก่อนขึ้นทะเบียนกับปศุสัตว์อำเภอกันทรลักษ์ เข้ามาฉีดวัคซีน และให้คำแนะนำเป็นอย่างดี
...
ไม่นานราว 4-5 เดือน “แพะขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว 80 กว่าตัว” แล้วก็เริ่มแบ่งขายให้เกษตรกรผู้สนใจตัวละ 3-4 หมื่นบาท กลายเป็นเม็ดเงิน ก้อนแรกเสมือนเป็นกำลังใจให้เราเลี้ยงขยายพันธุ์ต่ออีก จนเวลานี้มีแพะแกะออกลูกแม่พันธุ์ 34 ตัว เพราะบางตัวออกลูกมาแฝด 2-3 ตัว ทำให้ปัจจุบันมีแพะราว 180 กว่าตัว
“ตอนนี้พยายามเลี้ยงเก็บแม่พันธุ์ตั้งเป้าไว้สัก 300-500 ตัว เพื่อให้มีแพะขายออกได้วันละ 1 ตัว นั้นก็คือสามารถมีรายได้เข้ามาวันละ 3-4 หมื่นบาท หักต้นทุนค่าเลี้ยงดูก็น่าจะพอเหลือกำไรอย่างน้อย 1 หมื่นบาทด้วยซ้ำไป แล้วที่ผ่านก็ขายไป 2 รุ่นแล้ว คาดว่าขายรุ่นถัดไปอีก 1 รุ่น ก็น่าจะได้เงินทุนคืน” พ.ต.ท.ไพรวัลย์ ว่า
ถ้าพูดถึงข้อดีสำหรับ “การเลี้ยงแพะ” เป็นสัตว์เลี้ยงง่าย กินได้ทุกอย่างขยายพันธุ์เร็ว เพราะแพะ 1 ตัว มีระยะเวลาเลี้ยง 8-9 เดือน สามารถผสมพันธุ์ตั้งท้อง 5 เดือน เมื่อคลอดออกมาเลี้ยง 3 เดือนหย่านมก็ขายเป็นรายได้ แต่ถ้าให้ดีควรเลี้ยงระยะเวลา 1 ปีขึ้นไป เพื่อให้โครงสร้างร่างกายสมบูรณ์เต็มที่มีโอกาสได้ลูกแฝด 2-4 ตัว
ถัดมาก็เป็นเรื่อง “การดูแลให้วัคซีนตามวงรอบ” ก็จะมี จนท.ปศุสัตว์ อ.กันทรลักษ์ เข้ามาคอยช่วยแนะนำให้ความรู้เกี่ยวกับวัคซีนที่สำคัญๆ เช่น วัคซีนการป้องกันโรคปากเปื่อยเท้าเปื่อยต้องให้ทุก 6 เดือน
จริงๆแล้วด้วยความที่ “รับข้าราชการตำรวจ” ก็ไม่ค่อยมีเวลาดูแลฟาร์มใกล้ชิดมากนัก ทำให้เลี้ยงแบบผ่านออนไลน์เป็นหลัก ด้วยติดตั้งกล้องวงจรปิดแล้ว “จ้างคนงาน 2 คน” คอยดูแลให้อาหารทำความสะอาดโรงเรือนโดยเราจะคอยสังเกตความผิดปกติ เช่น แพะเจ็บป่วย หรือคลอดลูก ก็แจ้งประสานคนงานอยู่ตลอด
หากคนงานเห็นความผิดปกติถ่ายรูปส่งไลน์แจ้ง และเราก็นำปรึกษาปศุสัตว์ หรือร้านขายยา เพื่อให้ยาดูแลรักษาอาการนั้น แต่อย่างน้อยจะพยายามเข้าฟาร์ม 1 ครั้งต่อสัปดาห์ ที่ผ่านมายังไม่เจอปัญหาใหญ่มาก
...
อนาคตฝันไว้ว่า “ตั้งเป็นศูนย์เรียนรู้” เพื่อเป็นฟาร์มตัวอย่างให้ชุมชนใกล้เคียงได้มาเรียนรู้เป็นทางเลือกสร้างรายได้ที่ว่างจากฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตการเกษตร ปัจจุบันก็เริ่มมีชาวบ้าน สถาบันศึกษาติดต่อมาดูวิธีเลี้ยงเป็นระยะแล้ว ทำให้มีแผนต่อยอดขยายเพาะเลี้ยงควายไทยเพิ่มอีก ใครสนใจโทร.มาสอบถามได้ 09-8154-4654
สิ่งสำคัญอยากทำเป็นแบบอย่างให้ “ข้าราชการตำรวจใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ด้วยการหางานทำเสริมจะมีรายได้เข้าครอบครัว” ที่ไม่จำเป็นต้องมาเลี้ยงแพะเลี้ยงแกะเหมือนกัน “ควรมองหาสิ่งที่ตัวเองถนัดชอบทำจริงจัง” เพื่อจะได้ไม่มีหนี้ ไม่มีสิน อันเป็นผลส่งต่อให้ชีวิตครอบครัวมีความสุขตามมาด้วย
เชื่อว่า “ข้าราชการตำรวจหลายท่าน” มีเวลาว่างพอสามารถออกไปทำงานรายได้เสริมที่สุจริตได้ เพราะเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าจากงานประจำเลยอยากพักผ่อนจนเสียโอกาสตรงจุดนี้ไป ฉะนั้นหากต้องการมีรายได้เพิ่มก็ควรขยันกว่าคนอื่น แต่มิใช่เบียดเบียนเวลาในราชการทำงานส่วนตัวแบบนี้ถือว่าไม่เหมาะสม และไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ “ใช้จ่ายต้องมีสติบนพื้นฐานความพอดีพอเพียง” เพราะไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ ถ้ามีรายได้เสริมสุจริตทำได้ควรทำไปก่อน เพื่อรอฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามอยู่เสมอ.