กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ ตีปีกแก้ปัญหาหมูแพงได้สำเร็จ จากราคาหมูหน้าฟาร์ม กก.ละ 100 กว่าบาท ลดลงมาเหลือ 84-90 บาททส่งผลให้หมูเนื้อแดงราคาอ่อนตัวลงเหลือ กก.ละ 170-180 บาท จากที่ราคาเคยพุ่งไปถึง กก.ละ 220-250 บาท

แต่ก็อย่าได้ชะล่าใจไป เพราะหมูในสต๊อกห้องเย็นที่ทยอยออกมาสู่โลกภายนอกเริ่มร่อยหรอ เนื่องจากที่เก็บไว้หวังเก็งกำไรโดนตรวจจับ สมาคมที่เกี่ยวข้องกับหมูเลยออกมาพยากรณ์ว่า มีนาคม-เมษายน คนไทยจะพบช่วงวิกฤติหมูแพงอีกระลอกหนึ่ง เพราะเกษตรกรรายย่อย-รายเล็ก ไม่มั่นใจนำหมูรอบใหม่เข้าเลี้ยง เพราะยังมีความกังวลเรื่องโรคระบาด ASF ประกอบกับขาดทุนจากช่วงที่ผ่านมา ไม่มีเงินทุนหมุนเวียน

อีกทั้งอาหารสัตว์มีราคาสูงขึ้นประมาณ 30% ตามราคาวัตถุดิบในตลาดโลกที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับผู้เลี้ยงยังต้องลงทุนเพิ่ม สร้างระบบป้องกันโรค ซึ่งเป็นอีกหนึ่งต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น 30% เช่นกัน ขณะที่ผลผลิตไม่เป็นไปตามกลไกตลาดเพราะถูกกระทรวงพาณิชย์ควบคุมราคาหน้าฟาร์ม จะเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจได้เห็นวิกฤติหมูรอบสองหนักกว่ารอบแรก

ผู้เลี้ยงหมูรายย่อย-รายเล็กจึงกังวลกับท่าทีของรัฐบาลโดยเฉพาะ รมว.เกษตรฯ เฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่ออกมาบอกว่าไม่มีนโยบายนำเข้าหมูเวลานี้

เพราะมันหมายความว่า ถ้าเวลาต่อไปหมูเกิดขาดแคลน ผู้บริโภคเดือดร้อน จะมีการนำเข้าใช่หรือไม่

มีการวิเคราะห์กันว่า หากนำเข้าหมูจากต่างประเทศแม้เป็นการชั่วคราว จะส่งผลต่อความมั่นใจด้านราคาที่เกษตรกรจะขายได้ในอนาคต เพราะราคาที่ควบคุมไว้ขณะนี้ไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เลี้ยงไปเห็นอนาคตชัด “ขาดทุน” แล้วใครจะเสี่ยง

ยิ่งหากนำเข้ามาในรูปแบบของหมูแช่แข็งและเป็นชิ้นส่วนต่างๆ ที่ต่างประเทศไม่นิยมกิน อาจจะทำให้ราคาต่ำกว่าราคาที่ภาครัฐกำหนด แล้วผลผลิตของเกษตรกรไทยจะไปแข่งขันกับหมูนำเข้าด้วยวิธีไหน...จะปล่อยให้คนเลี้ยงหมูทุกข์ซ้ำซากเพื่อนักการเมืองจะได้รอดตัวกระนั้นหรือ.

...

สะ-เล-เต