ศูนย์วิจัยกสิกรไทยแถลงไว้ในข่าวที่เผยแพร่ไปถึงสื่อมวลชนทุกสำนักเมื่อสัปดาห์ก่อนโน้นว่า...สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ตลอดจนราคาสินค้าและค่าครองชีพที่ทยอยปรับสูงขึ้น ยังคงเป็นปัจจัยกดดันการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ของคน กทม.

แม้คนกรุงเทพฯจะยังออกมาเที่ยวกันอยู่ ยังคงจับจ่ายใช้สอยกันอยู่ แต่จะเที่ยวและใช้จ่ายอย่างประหยัดค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับตรุษจีนของปีที่ผ่านๆมาในอดีต

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยฟันธงว่า เม็ดเงินใช้จ่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีนของชาวเมืองหลวงปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 11,790 ล้านบาท...ถือว่า “ทรงตัว” เมื่อเทียบกับปีกลาย ซึ่งลดลงจากปีก่อนหน้านี้ประมาณ 10.4 เปอร์เซ็นต์

แปลว่าเศรษฐกิจตรุษจีนใน กทม. สำหรับปี 2565 หรือปีเสือ จะยังไม่ฟื้นตัวและอย่่างดีก็แค่เสมอตัวเท่านั้นเอง

ในขณะที่ท่านผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยหรือ ททท. ยุทธศักดิ์ สุภสร ก็แถลงว่าจากสถานการณ์โรคระบาดและปัญหาเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว แถมราคาสินค้าก็สูงขึ้นมาซํ้าเติม...ทำให้คาดว่าจำนวนผู้เดินทางท่องเที่ยวในประเทศสำหรับตรุษจีนปีนี้จะอยู่ 527,900 คนต่อครั้ง ประมาณการออกมาเป็นรายได้เพียง 1,930 ล้านบาทเท่านั้น

โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ซึ่งทุกๆปี (เว้นปีที่แล้วที่โควิด-19 เริ่มระบาดหนัก) จะมีข่าวนักท่องเที่ยวเชื้อสายจีนจากประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงของเราและจากประเทศจีนโดยตรง เช่าเหมาเครื่องบินมาเที่ยวบ้านเรากันมากเหลือเกิน...ส่งผลให้สนามบินหลักของเราทุกแห่งมีการบินขึ้นบินลงอย่างหนาแน่น

ปีนี้ได้ยินว่ามีเหมือนกัน แต่ก็มีเพียงไม่กี่ลำและไม่กี่เที่ยวบินเท่านั้น บรรยากาศหงอยสนิท

อย่างไรก็ตาม แม้ทั้งตัวเลขและบรรยากาศของตรุษจีนปีนี้ ซึ่งเริ่มแล้วตั้งแต่วันนี้ (31 มกราคม) อันเป็น “วันไหว้” และวันแจกซอง “แตะเอีย” จะเป็นดังที่สรุปไว้ข้างต้น

...

แต่ห้างสรรพสินค้าต่างๆก็ยังฮึดสู้และยังคงลงทุนลงแรง จัดงานตรุษจีนกันอย่างเต็มที่ดังที่เป็นข่าวหน้า 1 หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ รวมทั้งผมเองก็เขียนแนะนำไปหลายงานหลายห้างในฉบับวันเสาร์

ต้องขอแสดงความชื่นชมในความใจสู้ของห้างต่างๆไว้ ณ ที่นี้ พร้อมกับขอให้กำลังใจให้ประสบความสำเร็จ มีผู้คนไปอุดหนุนบรรลุ ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

อย่างน้อยๆก็ขอให้มีกำไรเสมอตัวหรือมีรายได้ทรงๆคือเท่ากับปีที่แล้วอย่างที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยพยากรณ์ไว้

ให้กำลังใจห้างสรรพสินค้าต่างๆเรียบร้อยผมก็ขออนุญาตให้กำลังใจพวกเราภาคประชาชน...มนุษย์เงินเดือนบ้าง มนุษย์ลูกจ้างรายวันบ้าง ซึ่งผมเดาว่าปีนี้คงจะได้ “แตะเอีย” น้อยมากหรืออาจจะไม่ได้กันเลย

โดยเฉพาะลูกจ้างของ เอสเอ็มอี ทั้งหลายที่ไม่ว่าจะไปไหนก็ได้ยินแต่เสียงบ่นว่าขาดทุน เพราะฉะนั้นยอดเงินแตะเอียจะต้องลดลงแน่ๆ

ขอให้อดทนอดกลั้นเอาไว้นะครับ และท่องคาถา “จนให้เป็น” ตามข้อแนะนำของท่านอาจารย์ ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ จากมหาวิทยาลัยมหิดล ที่ผมเขียนถึงเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว

ใช้เท่าที่มีให้ใช้ อย่าไปยืม อย่าไปกู้มาใช้เป็นอันขาด จะไปเดินห้างก็ไปได้ จะไปดูมังกร ไปดูการแสดงไฮเทคและสีเสียงอลังการต่างๆ ก็ไปเลย...แต่ไม่ต้องซื้ออะไรทั้งสิ้น

หิวก็กลับไปกินมาม่าที่บ้าน อย่าเดินเข้าฟู้ดคอร์ตเป็นอันขาด

ผ่านศาลเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เขาอัญเชิญมาตั้งไว้ชั่วคราวในห้าง เราก็ยกมือไหว้และขอพรท่าน เพื่อเป็นกำลังใจในการที่เราจะฮึดสู้ต่อไป

ครับ! สำหรับคนจน คนตกงาน คนไม่มีรายได้ ผมก็ขอฝากให้ไปเที่ยวตรุษจีนตามงานหรือตามห้างต่างๆในลักษณะนี้ คือไปดู ไปชม ไปสัมผัสบรรยากาศ แต่ไม่ต้องซื้ออะไร หรือจับจ่ายใช้สอยอะไรทั้งสิ้น

ส่วนท่านที่พอจะมีเงินเหลือกินเหลือใช้รายได้สูงๆ ซึ่งช่วงนี้ไม่มีโอกาสไปนอกก็อย่าลืมไปกินไปใช้และไปซื้อข้าวของต่างๆในห้างกันด้วยเถิด...ห้างเขาจะได้อยู่ได้ และมีเรี่ยวแรงสู้ต่อ เพื่อจัดงานอื่นๆต่อไป รวมทั้งงานวาเลนไทน์และงานสงกรานต์ที่จะมาถึงในอีกไม่นานข้างหน้า

สรุปว่าตรุษจีนปีนี้ “คนจน” ก็ขอให้ “จนเป็น” คือประหยัดสุดขีด... ส่วน “คนรวย” ก็ขอให้ “รวยเป็น” คือต้องควักออกมาใช้จ่ายโดยด่วนเศรษฐกิจไทยจะได้เกิดความสมดุลและสามารถพลิกฟื้นขึ้นมาได้ในที่สุด

ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้...สุขสันต์วันตรุษจีนทุกๆท่านครับ.

“ซูม”