“ความสุข” และ “ของขวัญปีใหม่” อยู่ไม่ไกลเกินที่จะเอื้อมมือถึง ขอให้ใช้ชีวิตที่ตั้งอยู่บนความไม่ประมาท ใช้ “สติ” และ “ปัญญา”ของตนเองในการดำเนินชีวิตในการประกอบอาชีพหน้าที่การงานที่สุจริต...ไม่ผิดศีลธรรม...ไม่ผิดกฎหมายบ้านเมืองและไม่ผิดกติกาของสังคม

พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก ประธานมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน เจ้าอาวาสวัดบางไส้ไก่ กทม. บอกว่า เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ก็ย่างเข้ามาถึง เป็นห้วงเวลาที่แต่ละคนต่างพยายามสลัดทิ้ง ซึ่งความยากลำบากโดยชนิดเกือบเอาชีวิตไม่รอดเลยทีเดียว...ในปีที่กำลังจะผ่านพ้นไป

“ขอได้ทิ้งความผิดหวัง ความล้มเหลวไปกับปีเก่า และขอได้พบกับความสดใส...ความสมหวังในปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง”

ส่วนคนที่ได้พบแต่ความสุขความสำเร็จในปีเก่าก็อยากจะให้เกิดแต่สิ่งที่ดีกับตนเองในปีใหม่เช่นเดียวกัน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปในทิศทางใดล้วนอยู่ที่ “การกระทำของมนุษย์เรา” ทั้งนั้น

ดังนั้น...อยากจะพบกับสิ่งใดก็ขอจงได้กระทำแต่ในสิ่งนั้นๆเทอญ

...

ชีวิตของคนเราย่อมได้พบทั้งสุขและทุกข์อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย เมื่อเราพบแต่ความสุขเราก็ยินดีปรีดา เมื่อพบแต่ความทุกข์ก็เศร้าระทมไปตามๆกัน เมื่อได้พบแต่สิ่งที่ไม่พึงปรารถนาหรือสิ่งที่ไม่ดีก็ขอให้อดทนอดกลั้น...กล้าเผชิญกับสิ่งร้ายเหล่านั้น เพราะอีกไม่นานมันก็จะหายไปจากตัวเราเอง

ในขณะเดียวกันเมื่อเราได้พบแต่สิ่งที่ดีสิ่งที่ชอบอกชอบใจแล้วก็ขอให้เสพสิ่งที่ดีด้วยสติและไม่ตั้งอยู่ในความประมาท ให้ระลึกอยู่เสมอว่าไม่จีรังยั่งยืน อีกไม่นานมันก็คงจะจากเราไปเช่นเดียวกัน เพราะ “อิฏฐารมณ์”...คืออารมณ์ที่พึงปรารถนาประกอบไปด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ สุข

และ “อนิฏฐารมณ์”...ประกอบด้วย เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกติฉินนินทา ทุกข์ เป็นอารมณ์ที่ไม่พึงปรารถนา ทั้งหมดล้วนเป็นของอยู่คู่กับโลกนี้ตลอดไป ขอจงให้เข้าใจให้ถ่องแท้และใช้ชีวิตอยู่คู่กับสิ่งเหล่านี้ให้ได้

จึงจะอยู่คู่กับโลกนี้ได้อย่าง “แคล้วคลาด” และ “ปลอดภัย”ได้จริงๆ

เมื่อย่างเข้าเทศกาลของปีใหม่ ทุกชีวิตต่างอยากจะได้แต่สิ่งที่ดี...สิ่งที่ใหม่ให้กับตนเอง เป็นการเริ่มพุทธศักราชใหม่ไปในตัว ต่างได้“อวยพร” หรือ “ส่งความสุข” ความปรารถนาดีให้ซึ่งกันและกัน ทั้งเป็นแบบบัตรอวยพรในสมัยโบราณและแบบใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ในการส่งถึงซึ่งกันและกัน

นับรวมไปถึงการนำเอากระเช้าของขวัญปีใหม่ไปอวยพรซึ่งกันและกัน...เป็นการแสดงความปรารถนาดีต่อกัน เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความสัมพันธ์กันได้เป็นอย่างดี การแสดงออกในทางที่ดี สร้างสรรค์จะเป็นรูปแบบใดที่ไม่สร้างความเสียหายหรือความเดือดร้อน แต่กลับกลายเป็นประโยชน์...

ทั้งต่อ “ตัวเรา” ซึ่งเป็นผู้รับและ “คนอื่น” ซึ่งเป็นผู้ให้ก็ขอให้กระทำไปเถิดเพราะมนุษย์ในโลกนี้ต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม

เทศกาลดังกล่าวก็จะมีความหมายและมีคุณค่าไม่น้อยกว่าในเทศกาลไหนๆ

“เราอยากจะได้รับแต่สิ่งที่เป็นของขวัญที่ดีที่เป็นประโยชน์ทั้งในระยะสั้น...ระยะยาว เราจะต้องลงมือกระทำด้วยตนเอง เราอยากจะพบแต่ความสุข ก็ขอให้ส่งแต่ความสุขความหวังดีความปรารถนาดีให้กับคนอื่นหรือชีวิตอื่น ไม่ว่าจะอยู่ใกล้กันหรืออยู่ไกลกันก็ตาม...”

เราอยากจะได้ความเจริญก้าวหน้า เราก็จะต้องขยัน อดทน ประหยัด ซื่อสัตย์สุจริตในการดำเนินชีวิตดังที่พระพุทธองค์ได้เคยตรัสไว้ว่า “วิริเยนะ ทุกขะมัจเจติ แปลว่า คนเราจะล่วงพ้นความทุกข์ได้เพราะความเพียร”...เพียรพยายามในการดำรงชีวิต เพียรพยายามในการทำหน้าที่การงาน

...

พระมหาสมัย ย้ำว่า ขอให้เอาอิทธิบาทสี่มาเป็นที่ตั้งคือ ฉันทะความพอใจ, วิริยะ ความเพียร, จิตตะ เอาใจใส่ในสิ่งนั้น, วิมังสา หมั่นตริตรองในสิ่งที่กระทำลงไป ความสำเร็จก็จะติดตามมา

เราจะขอความสำเร็จจากคนอื่นก็จะต้องขอจากตัวเราเองเสียก่อนเป็นที่ตั้ง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่การกระทำ “ของตัวเรา” ส่วนคนอื่นขอให้เป็นกำลังใจและกำลังสนับสนุนเท่านั้น อย่าได้ไปหวังให้คนอื่นมาเนรมิตให้กับตัวเรา พระพุทธองค์ยังเคยตรัสสอนไว้ว่า “อัตตาหิ อัตตโน นาโถ แปลว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”

รวมถึงมีความเพียรพยายามในการกระทำแต่ความดีสั่งสมบุญกุศลไว้ให้เกิดขึ้นกับตนเอง ดังนั้นของขวัญที่เกิดขึ้นจากความเพียรพยายามแต่ในสิ่งที่ดีที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม...ตามกฎหมายบ้านเมือง

รวมถึงเป็นที่ยอมรับของสังคม นั่นเป็นของขวัญปีใหม่ที่จีรังยั่งยืนตลอดไป ความสำเร็จ...ความดีก็จะอยู่คู่กับสังคมเราตลอดไปจนกลายเป็น “อนุสรณ์แห่งความสำเร็จและความดี” ที่จะประดับไว้ในโลกา

“เราได้พบเห็นเป็นข่าว...เป็นประเด็นทางสังคมอยู่เสมอกรณีที่เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงได้มีพฤติกรรมที่ไม่ดี ไม่เหมาะสมต่างๆนานา นอกจากการที่ผู้กระทำลงไปนั้นได้มีสติฟั่นเฟือนหรืออยู่ในอาการป่วยทางจิตแล้ว ส่วนหนึ่งมาจากได้รับแรงกดดันหรือเคยได้รับผลกระทบจากคนอื่นมาก่อน จนสุดที่จะอดกลั้น...”

...

จึงแสดงออกเป็นการตอบโต้คนอื่นจนครอบครัวที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้รับผลกระทบหรือได้รับความเดือดร้อนไปด้วย ความสงบสุขจึงไม่จบลงที่กลายเป็นข่าวผ่านสังคมหรือจบลงที่โรงพักหรือโรงพยาบาล แต่ทั้งหมดจะจบลงที่ “ตัวเรา” เพราะจะต้องสำรวจว่า...ตัวเราเป็นต้นเหตุก่อให้เกิดการกระทำของเพื่อนบ้านหรือไม่?

“ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาล้วนมีเหตุด้วยกันทั้งนั้น เหตุดีผลก็จะออกมาดี เหตุร้ายผลก็จะออกมาร้าย การขึ้นโรงพักหรือการให้กลายเป็นข่าวนับว่าเป็นการจองเวรซึ่งกันและกัน ปัญหาย่อมจบลงที่การพูดคุยทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ยอมรับข้อบกพร่องของตนเองแล้วปรับปรุงตนเองเสียก่อน จึงจะไปโทษคนอื่น”

ขอให้คิดว่าการอยู่ร่วมกันของเพื่อนบ้านใกล้เคียงด้วยการถนอมน้ำใจซึ่งกันและกัน การเคารพกติกาทางสังคมร่วมกัน การไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น เป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องสำนึกและจดจำไว้ในจิตใจตลอดเวลา ทุกคนล้วนต้องการแต่ความสุข...เกลียดความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น

“ของขวัญปีใหม่”...จึงควรเกิดขึ้นจากการกระทำของเราและมีเพื่อนบ้านที่ดีนี่เอง

...

พระมหาสมัย บอกอีกว่า ขอจงชนะคนไม่ดีด้วยความดีของเรา ขอจง ชนะความล้มเหลวด้วยการลุกขึ้นมายืนหยัดกล้าเผชิญต่อสู้กับอุปสรรคต่อไป ขอจงชนะความขุ่นมัวของหัวใจด้วยการทำจิตใจให้สะอาด สว่าง และสงบ ขอจงชนะความชั่วด้วยการไม่ตกเป็นทาสของความโลภ ความโกรธ ความหลง

“ขอจงชนะการเป็นศัตรูด้วยการให้อภัย ขอจงชนะความยากจนด้วยการใช้เงินไม่สุรุ่ยสุร่าย ขอจงชนะภัยพาลทั้งปวงด้วยการแผ่เมตตาส่งความสุขความปรารถนาไปให้แก่คนอื่น เพื่อให้พวกเขาได้พ้นทุกข์...มีความสุขยิ่งๆขึ้นไปเทอญ ของขวัญปีใหม่ก็จะเกิดขึ้นกับทุกคนจนแคล้วคลาดปลอดภัยกันทั้งปวง”

สุดท้ายนี้...ขอให้ทุกคนทุกท่านหมั่นสะสมคุณงามความดีและผลงานที่ดีของตนเองไปเรื่อยๆ เพราะความดีก็ตาม ทรัพย์สินเงินทองก็ตามจำเป็นต้องใช้เวลาสั่งสมวันละเล็กวันละน้อย สักวันหนึ่งความดีก็จะเติมจนเต็มให้เราได้ภาคภูมิใจ ไม่มีสุขใดเท่าที่เราได้กระทำแต่ความดี

...ไม่มีสุขใดเท่าที่เราได้พบเห็นผู้คนรอบข้างมีแต่ความสุข ผู้คนในสังคมประเทศชาติและโลกต่าง...อยู่เย็นเป็นสุขกันอย่างถ้วนหน้า ทุกอย่างจึงขอให้เริ่มต้นที่ตัวเราจะได้กลายเป็น “ตัวอย่างที่ดีทั้ง ความสำเร็จในการดำรงชีวิต ในหน้าที่การงาน ในครอบครัว และในสังคม”ตลอดไป.