ให้รองรับการเดินรถไฟขนส่งสินค้า น้ำหนักกดลงเพลา 20 ตัน/เพลา จากเดิมรองรับได้ที่ 16 ตัน/เพลา มั่นใจช่วยเพิ่มศักยภาพการขนส่งสินค้าได้อีก 20% พร้อมไฟเขียวให้เร่งจัดสรรงบดำเนินการในปี 67-69 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางรางทั่วไทย
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมการเตรียมการรองรับการเดินรถไฟขนส่งสินค้า น้ำหนักกดลงเพลา 20 ตัน/เพลา ว่า ในปัจจุบันเส้นทางรถไฟซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้มีการก่อสร้างปรับปรุงทางรถไฟให้สามารถรองรับรถจักรบรรทุกสินค้าขนาด 20 ตัน/เพลาแล้ว แต่ก็ยังมีไม่ครอบคลุม ดังนั้นตนจึงได้สั่งการเพิ่มเติม 1. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการตรวจสอบข้อมูล สะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ จ.หนองคาย ที่จะมีการสร้างให้ออกแบบใหม่รองรับ 20 ตัน/เพลา เพียงพอหรือไม่ โดยประสานตรวจสอบว่า สะพานในโครงการรถไฟลาว-จีน ออกแบบรองรับกี่ตัน/เพลา เพื่อให้มีความสอดคล้องและรองรับปริมาณการขนสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ให้ รฟท. พิจารณาตรวจสอบว่า สะพานรถไฟในประเทศไทยมีจุดใดที่ต้องดำเนินการปรับปรุงซ่อมแซม และบำรุงรักษาอย่างเร่งด่วน เพื่อให้เดินรถได้อย่างปลอดภัย โดยให้พิจารณาขอรับการจัดสรรงบกลาง หรืองบประมาณเหลือจ่ายของ รฟท. และให้ดำเนินการภายในปี 2565, 3. การจัดหารถจักรและล้อเลื่อนเพิ่มเติม ให้ รฟท. จัดทำข้อมูลโดยพิจารณาแนวทางการลงทุนหลากหลายรูปแบบ เช่น งบประมาณ เงินกู้ การ outsource ให้กับเอกชน หรือการให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) นอกจากนี้ ในการจัดหาหัวรถจักรให้พิจารณาเป็นหัวรถจักรไฟฟ้าหรือระบบไฮบริด (hybrid) โดยเฉพาะในย่านสถานีกลางบางซื่อ และให้ รฟท. จัดทำแผนปฏิบัติการ (action plan) ในการดำเนินงานรองรับการใช้งานสถานีกลางบางซื่อให้ชัดเจนด้วย
นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามในปัจจุบันเส้นทางรถไฟซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ รฟท.ที่ได้มีการก่อสร้างปรับปรุงทางรถไฟให้สามารถรองรับรถจักรบรรทุกสินค้าขนาด 20 ตัน/เพลาแล้ว เช่น เส้นทางสายตะวันออกเฉียงเหนือ (กรุงเทพฯ - หนองคาย) สายตะวันออก (กรุงเทพฯ - ระยอง) และสายเหนือ (กรุงเทพฯ - เชียงใหม่) อย่างไรก็ตาม ยังมีสะพานรถไฟในบางสายทางยังไม่ได้รับการปรับปรุงให้รองรับน้ำหนักกดลงเพลา 20 ตัน/เพลา โดยเฉพาะในเส้นทางสายใต้ ซึ่งสะพานรถไฟส่วนใหญ่รองรับน้ำหนักบรรทุกได้เพียง 16 ตัน/เพลา และมีสะพานรถไฟซึ่งถึงกำหนดต้องบำรุงรักษาตามระยะเวลา เช่น สะพานหอในสายเหนือ 2 แห่งที่จังหวัดลำปาง สะพานรถไฟสายใต้ที่จังหวัดชุมพร จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 8 แห่ง สะพานรถไฟช่วงวงเวียนใหญ่ - มหาชัย จำนวน 19 แห่ง และสะพานรถไฟช่วงหนองปลาดุก - สุพรรณบุรี จำนวน 23 แห่ง
ดังนั้นทางกระทรวงคมนาคมจะเร่งรัดดำเนินการปรับปรุงสะพานรถไฟโดยใช้งบประมาณปี 2566 ที่เสนอขอรับการจัดสรรจากสำนักงบประมาณ เพื่อให้ประชาชนที่เดินทางด้วยรถไฟได้รับความปลอดภัยสูงสุดและลดระยะเวลาในการเดินทาง รวมทั้งส่งเสริมการขนส่งสินค้า ให้รองรับปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้น จากเดิมรถจักรน้ำหนักกดลงเพลา 16 ตัน/เพลา รองรับการขนส่งสินค้าได้ขบวนละ 2,100 ตัน หากปรับปรุงสะพานรถไฟให้รองรับการใช้รถจักรน้ำหนักกดลงเพลา 20 ตัน/เพลา จะรองรับเพิ่มขึ้นเป็นขบวนละ 2,500 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 20% และสามารถใช้ความเร็วผ่านสะพานได้สูงสุดถึง 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากเดิมที่รถจักรจะผ่านสะพานรถไฟด้วยความเร็วไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
สำหรับสะพานรถไฟในส่วนที่เหลือ กระทรวงคมนาคมจะดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณปี 2567-2569 ตามลำดับความจำเป็นในการปรับปรุง เพื่อปรับปรุงสะพานรถไฟทั่วประเทศ ให้รองรับน้ำหนักบรรทุก 20 ตัน/เพลา ส่วนสะพานที่อยู่ในเส้นทางที่มีแผนก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 จะดำเนินการปรับปรุงสะพานให้รองรับน้ำ 20 ตัน/เพลา ไปพร้อมกัน
นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า สำหรับสถานะรถจักรดีเซลไฟฟ้าของการรถไฟแห่งประเทศไทย ในปัจจุบันนั้นมีรถจักรดีเซลไฟฟ้า ซึ่งอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานจำนวน 219 คัน แบ่งเป็นรถจักรดีเซลไฟฟ้า (CSR) รุ่นใหม่ น้ำหนักกดลงเพลา 20 ตัน/เพลา จำนวน 20 คัน ใช้สำหรับขนส่งสินค้า ส่วนรถจักรที่มีน้ำหนักกดลงเพลา 15-16 ตัน/เพลา ได้แก่ รถจักรดีเซลไฟฟ้า (GEA) จำนวน 36 คัน รถจักรดีเซลไฟฟ้า (Hitachi) จำนวน 21 คัน รถจักรดีเซลไฟฟ้า (Alsthom) จำนวน 97 คัน และรถจักรดีเซลไฟฟ้า (GE) จำนวน 45 คัน โดยการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าพร้อมอะไหล่เพิ่มเติมอีก 50 คัน เพื่อทดแทนรถจักร GE เดิม ที่มีอายุการใช้งานกว่า 55 ปื โดยรถจักรดีเซลไฟฟ้า 20 คันแรกจะมาถึงไทยกลางเดือนมกราคม 65 ก่อนนำมาทดสอบ และจะนำมาวิ่งให้บริการได้ประมาณกลางปี 2565 และอีก 30 คันจะได้รับมาในปี 2566
นอกจากนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างติดตั้งระบบป้องกันการชนอัตโนมัติ หรือ ATP (Automatic Train Protection) ให้กับรถจักร CSR และ Alsthom จำนวน 70 คัน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2566 ซึ่ง ATP จะช่วยควบคุมระยะห่างของขบวนรถแต่ละคันให้อยู่ในระยะที่ปลอดภัย กรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน รถจักรจะทำการเบรกอัตโนมัติ เป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้โดยสารมากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถนำมาใช้ในทางรถไฟร่วมกับรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชันได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้การรถไฟแห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างเตรียมประกวดราคาการปรับปรุงรถจักรให้มีสภาพใหม่ (Refurbish) รวมทั้งติดตั้งระบบ ATP ให้กับรถจักร GEA และ Hitachi อีก 57 คัน เพื่อยกระดับการให้บริการและเพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชนผู้โดยสารระบบรางต่อไป