ย้อนไปเมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ที่กรุงกลาสโกว์ สกอตแลนด์ “รอยเตอร์ส”...รายงานข่าวที่ไม่ใช่เฟกนิวส์...สหรัฐอเมริกาทำข้อตกลงกับจีนมหาอำนาจใหม่ฝั่งตะวันออก เพิ่มความร่วมมือแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ ลดปล่อยก๊าซมีเทน ยุติการใช้ถ่านหิน

ย้ายมาที่เมืองไทย...ได้ฤกษ์ตามประกาศิตท่านผู้นำกำหนดวันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2564 จันทรคติกาล ตรงกับแรม 11 ค่ำ เดือน 11 ปีฉลู ตรีศก จุลศักราช 1383 เป็นวัน “เปิดประเทศ” หลังเปิดๆปิดๆมาในช่วง 2 ปี...ผู้คนรากหญ้าไม่น้อยออกอาการร่อแร่ เพราะทนอดอยากไม่ไหวจากเศรษฐกิจที่ล้มเหลว

จะพิลึกพลิกเกม...ตรงการกระตุ้นโดยเอาดนตรีมาล่อคนกระตุ้นอยากอย่าง “พัทยา มิวสิกฯ” นั้น “รำผิดเพลง” หรือ “เกาไม่ถูกที่คัน” มิรู้ได้?...สนับสนุนให้วัยรุ่นตีกัน ไม่ยักเป็นแหล่งท่องเที่ยวสร้างเม็ดเงิน

ฟากฝั่งฝ่าย ศบค.ผู้สุ่มเสี่ยงเปิดประเทศรับแขกต่างด้าวท้าวต่างเมืองเข้ามาท่องเที่ยว แม้จะระบาดหนักภายในทำยอดติดเชื้อบักโกรกวันละ 4,000-5,000 คน ตายเฉลี่ยวันละ 30-40 คน...และล่าสุดโลกกลับมาสะท้านอีกครั้งกับโควิดกลายพันธุ์ “โอมิครอน” จากแอฟริกาใต้ ซึ่งแพร่เชื้อได้รวดเร็ว...

...

ยุโรปและอเมริการับไปแล้วหลายประเทศ ถึงออสเตรเลีย เอเชียมีฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น...ถึงขั้นประกาศปิดประเทศอีกหน ประเมินสถานการณ์วันวานถึงวันนี้ไทยจะรับอย่างเดลตาทางช่องธรรมชาติ หรือเครื่องบินพามา...ก็คงสุดแล้วแต่เวรแต่กรรม?

ส่วนการเสี่ยงเปิดประเทศครั้งนี้...คนไทยบางส่วน “เชื่อครึ่ง” กับมาตรการป้องกัน โดยเฉพาะการระงับเที่ยวบินจากกลุ่มแอฟริกาใต้ กลุ่มอื่นไม่กักตัวแต่ต้องฉีดวัคซีนครบโดส ผ่านการตรวจจากต้นทางไม่เกิน 72 ชั่วโมง มีเอกสารเข้าเมือง ซีโออี ไทยแลนด์ พาส และการจองห้องพัก

อีกครึ่งส่วน “ไม่เชื่อ”...ตรงทิ้งให้คนไทยร่วม 2 หมื่นตาย ด้วยระบบการวางแผนบริหารจัดการเรื่อง “วัคซีน” ช่วงเริ่มต้นคว้าน้ำเหลว มีแต่ราคาคุย ปล่อยประชาชนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง

ช่างแตกต่างผิดกับมหกรรมเปิดประเทศ...ที่อุ้มนักท่องเที่ยวเช่นไข่ในหิน มาต้อง “ปลอดภัย” กลับไปต้อง “ปลอดเชื้อ” ไม่ใช่หาเตียงยากยิ่งกว่าทองคำ ทิ้งให้หายใจรวยรินริมถนนอย่างที่เห็นเป็นข่าว

โมเมนต์นี้องค์กรท่องเที่ยวไทยที่เลิกเลี้ยงแกะรับปีใหม่ สรุปให้รู้ว่า...ปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1 ล้านคน นักท่องเที่ยวไทย 60 ล้านคนต่อครั้ง รายได้รวม 2 ตลาด 3.8 แสนล้านบาท

ปีหน้า...มโนตัวเลข “ฉ่ำสมิหลา” คาดการณ์กันว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 18 ล้านคน รายได้ 8 แสนล้านบาท ตั้งเป้าเสกรายได้ติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก...แม้ว่าตัวเลขจะสูงเว่อร์แต่ก็ขอให้เป็นจริงด้วยเถิด

ฉายภาพต่อไปส่วนในประเทศ...ยุคเอกชนว่าอย่างไร “รัฐก็ว่าอย่างนั้น” กะเข็นทัวร์ “ไทยเที่ยวไทย” 160 ล้านคนต่อครั้ง สร้างรายได้ 8.5 แสนล้านบาท...กรณีนี้นั่นหมายถึงไม่ถูกเตะตัดขาเสียก่อน...นะจ๊ะ

เหลียวมาดูต่างชาติ 63 ประเทศที่ไทยแบเบอร์ไม่กักตัว...ปรากฏว่า 10 วันแรกสถิติกระเพื่อมอยู่ที่ 3 หมื่นกว่าคน และเพิ่มขึ้นวันละ 3-5 พันคน โดยอเมริกานำโด่ง รองลงมาเป็นเยอรมนี สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น ตามด้วยเกาหลีใต้ รัสเซีย สวิตเซอร์แลนด์ สวีเดน และอาหรับเอมิเรตส์

เห็นรายชื่อแล้วคุ้นๆทั้งนั้น...ญี่ปุ่นยัง “เซย์โน” ทัวริสต์ในและนอก ประกาศรอออกและเข้ากลางปีหรือปลายปีหน้า ส่วนเข้าเกาหลีใต้ต้องมี ซีโออีกักตัว 14 วัน...เพราะบ้านเมืองยังไม่เสถียร

ทว่าในทางกลับกัน...เราเปิดให้ 63 ประเทศเข้ามาเที่ยวแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ทุกคนมีโอกาสแพร่เชื้อหรือพกเชื้อกลับไปเพราะบ้านเรายังตกค้างหลายคลัสเตอร์ ขณะเดียวกัน...หลายประเทศที่โควิดยังเป็นหนามทิ่มอก แต่พร้อมรับไทยทัวริสต์เข้าภายใต้เงื่อนไขที่เข้มข้นกว่าไทยแลนด์

...

ทัวร์เอาต์บาวด์” บอกคนไทยบ่ยั่น...เขียนคอนเทนต์จะ “ออนทัวร์” ไปสหราชอาณาจักร เพื่อช็อปปิ้งสินค้านิวลุคห้างดัง กินเป็ดโฟร์ซีซัน บะหมี่โซโห เดินเล่นแถวเวสต์มินสเตอร์ หรือแดนไส้กรอกเยอรมนี แฟรงก์เฟิร์ต เบอร์ลิน...บางรายซื้อทัวร์ขณะโควิดระบาดเพื่อไปหาแฟชั่นล้ำยุคย่านฌอง เอลิเซ่ส์ ปารีส

หรือ...ไปเลือกนาฬิกาในตำนานที่บุคเคอเรอร์ สวิตเซอร์แลนด์บ้างก็ไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก รัสเซีย ขาดมิได้คืออเมริกาที่คนไทยถือว่า “เกิดมาชาติหนึ่ง”...ต้องไปให้ได้

นี่คือสัจธรรมแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยว เมื่อเรา “เปิดประเทศ” ดึงคนของเขามาจับจ่าย เขาก็ย่อมดูดคนของเราไปรักษาดุลการชำระเงินซึ่งสูญไป...ตามทฤษฎีอินเตอร์เนชันแนลทัวริซึ่ม

...

โหมดนี้...สถิติคนไทยเคยออกไปปีละกว่า 12 ล้านคน สูญเสียรายจ่ายปีละ 4.4 แสนล้านบาท เสียดุลจากรายได้ท่องเที่ยวปีละ 3 ล้านล้านบาท...พอปี 2563 ที่โควิดกระหน่ำเหลือ 1 แสนล้านบาท เพราะคนไทยเริ่มเจียมเนื้อเจียมตัว และหยุดเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศอยู่พักใหญ่

จนเมื่อ “ระฆังทัวร์” เมืองนอกดังแหง่งหง่าง...ทำเอาตลาดทัวร์เอาต์บาวด์คนไทยนั่งไม่ติดที่ ซึ่งเป็นสิทธิเสรี แต่ “คนของรัฐ” ที่ “ต๊าช” สุดยอด...มากสุด คงไม่เหมาะใช้งบประมาณงานนี้ เพราะบ้านเมืองยังอมโรค และรูปแบบการศึกษาดูงานยังจำบัง “ไม่มีอะไรในกอไผ่” นอกจากทัวร์ต่างประเทศ

“กลุ่มนี้เป็นข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ รับรางวัลก่อนเกษียณ...คนรุ่นใหม่บอกเป็นดราม่าหลงสเตจสำหรับยุคนี้” คนในแวดวงออกตัวสะท้อนภาพนี้ ที่จะจริง...จะเท็จมากน้อยแค่ไหนอย่างไรก็โปรดพิจารณาไตร่ตรองกันดู พร้อมบอกเล่าให้ฟังต่อไปอีกว่า...

อีกกลุ่ม...เป็นพวกไปร่วมอีเวนต์ส่งเสริมการขาย กลุ่มนี้เป็นเจ้านายหน่วยเหนือไปกับบอร์ดและที่ปรึกษาหน้าเดิมๆทุกปี บางราย...เล่าลือกันว่าชอบซ่อนผัวหนีบเมียไปด้วย

...

เป้าหมายแน่นอนต้องยุโรปตะวันออก...ตะวันตก อเมริกาทั้งเหนือและใต้ ที่ใกล้ๆอย่างญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้...ประเทศเพื่อนบ้านใกล้ๆนั้นไม่อยู่ในสมอง

“ขอฟ้องประชาชนเจ้าของงบประมาณ...ไว้ตรงนี้ ถ้าเป็นสายการเมืองที่กำกับหน่วยงานโดยตรง หรือเป็นที่ปรึกษาระดับแข็งโป๊ก...ต้องนั่งเครื่องบินชั้นเฟิร์ส...คลาส นอนห้องชุดพรีเมียม...คลาสกินอาหารฮ่องเต้ รถถ้าใช้ในลอนดอนต้องโรลส์รอยซ์...ยี่ห้ออื่นต่ำเกินจะนั่ง เล่าลือกันถึงขนาดนั้น”

เคยรู้มาด้วยว่า...มีที่ปรึกษาชั้นเสนาบดียังเกรงใจ อาสายกคณะขนาดเล็กทำตลาดยุโรป...อเมริกา ปีหนึ่งทำ 6 ตลาดต่อทริป 1.3 ล้านบาท?

“ชอบนอนโรงแรมท็อปเทนเพื่อสั่งสมประสบการณ์...ไปน้ำตกไนแองการา ต้องเช่าเครื่องบินดูเบิร์ดอายวิวทั้งฝั่งโตเรนโต แคนาดา และนิวยอร์ก อเมริกา”

เอาล่ะครับ ฟังให้รู้พอเป็นน้ำจิ้ม ถึงตรงนี้จำได้ชัดเจน...เมื่อปี 2540 ครั้งเกิด “วิกฤติต้มยำกุ้ง” มีการยุบเอ็นทีโอไทยแลนด์หลายแห่ง และเรียกทีมไทยแลนด์ทั่วโลกกลับไทย สั่งห้ามคนของรัฐในประเทศไปทำกิจกรรมทุกชนิดต่างประเทศ ด้วยงบประมาณประเทศยามนั้นมีปัญหา...หน้าสิ่วหน้าขวานกันไปพักหนึ่ง

วันวานผ่านมาถึงปัจจุบัน ปีนี้... “ไทยเปิดประเทศ” หาเงินตราต่างประเทศกู้วิกฤติเศรษฐกิจไทย...คงจะไม่ “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” เปิดให้ “คนของรัฐ” ใช้งบประมาณพร่ำเพรื่อไปเพ่นพ่านต่างประเทศกันอีก.