ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สั่งสมมาอย่างต่อเนื่องในสังคมพหุวัฒนธรรม
นับจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ระบาดมาตั้งแต่ต้นปี 2563 เป็นปรากฏการณ์ที่สร้างผลกระทบต่อวิถีชีวิตผู้คนชายแดนใต้เป็นอย่างมากทั้งการเดินทาง การประกอบอาชีพ การศึกษา
ทั้งยังกระทบต่อกระบวนการสร้าง “สันติภาพ”...“สันติสุข” ในแง่ของความต่อเนื่องในการดำเนินการ เนื่องจากมีอุปสรรคด้านการปิดพรมแดนระหว่างไทย-มาเลเซีย เนื่องจากความรุนแรงของโรคระบาด อย่างไรก็ตาม การพูดคุยสันติภาพ...สันติสุข ภายใต้สถานการณ์ที่เปราะบางยังคงเดินหน้าต่อไป
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกฝ่ายในการแสวงหาสันติภาพที่ยั่งยืน
“การศึกษารูปแบบการเมือง การปกครองและอัตลักษณ์ ที่สอดคล้องกับพหุวัฒนธรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้” (ตุลาคม 2562) เครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้สังคมพหุวัฒนธรรม และพัฒนามนุษย์ โดยใช้นักวิจัยจาก 6 สถาบันการศึกษาหลัก
ได้แก่ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ มหาวิทยาลัยฟาฏอนี มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวร รวมทั้งนักวิจัยผู้ช่วยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย สะท้อนภาพไว้ว่า
...
เหตุการณ์จังหวัดชายแดนใต้ของประเทศไทย นับตั้งแต่ พ.ศ.2547 เป็นต้นมา จำนวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสิ้นมากกว่า 20,000 เหตุการณ์ ประชาชนและเจ้าหน้าที่ต้องเสียชีวิตมากกว่า 6,800 ราย และบาดเจ็บมากกว่า 13,400 ราย และสร้างผลกระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในวงกว้างอย่างมากมาย
จึงมีข้อสงสัยว่าเหตุใดความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ของไทยจึงเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ และมีความยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน?
และ...ทำไมทางการไทยถึงมีความยากลำบากในการหาทางออกต่อปัญหานี้ และเหตุใดปัญหานี้ถึงเป็นเรื่องเข้าใจได้ยาก?
สถานการณ์ดังกล่าวถูกอธิบายด้วยความรู้หลายชุด แต่อาจกล่าวได้ว่าเกี่ยวข้องกับ 5 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยทางการศึกษา ปัจจัยทางการเมือง ปัจจัยทางศาสนา ปัจจัยทางสังคม
การแก้ปัญหาสถานการณ์ในชายแดนใต้จำเป็นต้องใช้ความรู้หลายชุดเข้าไปช่วยในการแก้ไขปัญหา ชุดความรู้หนึ่งเกี่ยวกับปัญหาทางเศรษฐกิจเป็นแนวคิดที่มองว่า “ความยากจน” และ “ความด้อยพัฒนา” เป็นสาเหตุของความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้เริ่มปรากฏชัด...
ที่การกลืนกลายทางวัฒนธรรมแบบบังคับที่มีมาแต่เดิมค่อยๆลดบทบาทลง และเริ่มเข้าสู่ยุคที่รัฐไทยใช้การพัฒนาเป็นเครื่องมือยับยั้งการต่อต้านรัฐและเพื่อเอาชนะหัวใจของชาวมลายูมุสลิมที่นั่น
“รัฐไทย” มีความหวังว่าการพัฒนาคุณภาพชีวิตทางเศรษฐกิจจะสร้างความเป็นปึกแผ่น ความภักดีต่อชาติ สำนึกในความเป็นไทย และจะป้องกันการต่อต้าน หรือการถูกชักจูงจากผู้ไม่หวังดีภายนอกได้
แม้เวลาจะผ่านมาแล้วกว่าสี่สิบปี...แนวคิดนี้ก็ยังคงมีความสำคัญในปฏิบัติการเพื่อแก้ปัญหาความไม่สงบ สำหรับการเชื่อมโยงกับปัญหาความมั่นคงนั้น ความยากจนและความด้อยพัฒนาถูกมองว่าเปิดช่องให้ “ผู้ไม่หวังดี” มาแทรกแซง ส่งผลต่อการขยายตัวของขบวนการก่อความไม่สงบ
น่าสนใจว่า...จากการศึกษาดูเหมือนจะมีข้อมูลสนับสนุนความคิดดังกล่าว โดยพบหมู่บ้านพื้นที่สีแดงมักกระจุกตัวอยู่ในเขตที่มีความยากจนหนาแน่น เนื่องจากมีปัญหาในการประกอบอาชีพ
ข้อมูลความรู้นี้ทำให้รัฐเห็นว่าการใช้ยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจน่าจะช่วยแก้ปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนใต้ โดยในระยะหลายปีมานี้รัฐได้ทุ่มงบประมาณเกือบสามแสนล้านบาทในพื้นที่ชายแดนใต้เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ และรายได้
...
แต่...กระนั้นความรุนแรงก็ยังปรากฏและเกิดขึ้นเป็นระยะ ในแง่มุมของชุดความรู้อื่นคือการที่ “ชาวมุสลิม” ถูกผลักให้เป็น
“คนชายขอบ (Marginality)” ซึ่งเป็นปัญหาทางสังคม โดยความเป็นชายขอบจะหมายถึงผู้คนที่ด้อยอำนาจ...คนที่ตกเป็นเบี้ยล่าง...ของคนกลุ่มใหญ่ และคนยากไร้
เมื่อคนเหล่านี้เป็นชาติพันธุ์คนกลุ่มน้อย เพศด้อย และไม่มีตำแหน่งทางสังคมหรือเรียกรวมๆว่ามีสถานะเป็น “คนอื่น” อีกด้วยแล้ว จึงทำให้คนเหล่านี้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกกีดกันออกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หรือเป็นชายขอบในพหุมิติ ซึ่งกระบวนการเป็นคนชายขอบเกิดขึ้นเมื่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลถูกปฏิเสธโอกาสที่จะเข้าถึงตำแหน่งสำคัญเป็นสัญลักษณ์...ทางเศรษฐกิจ ศาสนา อำนาจทางการเมืองในสังคมใดๆ
“การถูกปฏิเสธและถูกกีดกันมาจากกระบวนการสำคัญในการสร้างภาวะความเป็นชายขอบ คือการสร้างความหมายในแง่ลบให้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วนำมาผูกติดเข้ากับอัตลักษณ์ของกลุ่มคนในสังคมโดยการแยกข้อเท็จจริงและการกระทำออกจากความเป็นตัวตนของคน”
อัตลักษณ์...ชายขอบจึงถูกสร้างและให้ความหมายโดยสังคมศูนย์กลางที่มีวิธีคิดแบบแยกขั้ว ที่ให้คุณค่าและอำนาจแก่ขั้วหนึ่งสูงกว่าอีกขั้วหนึ่ง
แท้จริงแล้วพวกเขา “เป็นชายขอบหรือแค่แตกต่าง”
...
...ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ส่วนหนึ่งเข้าใจปัญหาและมีความพยายามกำหนดกฎเกณฑ์ที่ตั้งอยู่บนฐานของความเคารพต่อศักดิ์ศรีของคน ประชาชนส่วนใหญ่ในจังหวัดชายแดนใต้นั้นเป็นเชื้อชาติมลายูที่นับถือศาสนาอิสลามอันมีอัตลักษณ์ วัฒนธรรมที่แตกต่างไปจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
ซึ่งมักจะเรียกรวมกันโดยรวมว่าเป็นคนไทยที่นับถือ “ศาสนาพุทธ”...โครงสร้างการปกครองซึ่งมีความเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับการดำเนินชีวิตจึงตอบสนองต่อความแตกต่างทางอัตลักษณ์นี้ด้วย
ซึ่งหากไม่สามารถตอบสนองได้ ก็จะเกิดปัญหาที่นำไปสู่ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อในที่สุด
สอดคล้องกับชุดความรู้หนึ่งคือเรื่องเกี่ยวกับวิธีการที่รัฐจัดการกับ “ชนกลุ่มน้อย”...ทางเชื้อชาติและศาสนาในภาคใต้ของประเทศด้วยการพยายามใช้วิธีการปกครองแบบ...“รัฐเดี่ยว” ซึ่งถือว่าไม่ได้ผล
เพราะ “ชาวไทยมุสลิม” ในภาคใต้มีแนวคิดและวัฒนธรรมที่แตกต่างจากกลุ่มชาวพุทธเถรวาท ในพื้นที่ศูนย์กลางจึงไปกันไม่ได้กับวิธีการปกครองแบบรัฐรวมศูนย์หนึ่งเดียว อีกทั้งกลุ่มชนชั้นนำในเมืองหลวงก็มีท่าทีกดเหยียดชนชาติ...ถ้าไม่ใช่ด้วย “ความเกลียดชัง” หรือไม่ก็ด้วย “ความสงสาร”
...
ปัญหาที่เกิดขึ้นที่ชายแดนใต้ ไม่ว่าจะเป็นความยากจน ยาเสพติด อิทธิพลท้องถิ่น ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ปัญหาการศึกษา การขาดประสิทธิภาพของกลไกรัฐ และความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านกับหน่วยงานรัฐ ที่จริงก็ล้วนเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกพื้นที่ของประเทศ
แต่...เมื่อมาเกิดในพื้นที่ชายแดนใต้ ก็มีความเชื่อมโยงกับปัญหาความมั่นคงและกลายมาเป็นสาเหตุของความไม่สงบ
วังวนปัญหาความไม่สงบ...การใช้ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงเป็นเงื่อนปัญหาใหญ่ที่ยังไม่คลี่ลายโดยง่าย ระวังไว้ว่า...หากแก้ไม่ตรงจุด เงื่อนนี้ก็จะยิ่งมัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ.