โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริจังหวัดเชียงรายนั้น เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อราวๆต้นปี 2531 ภายหลังจากสมเด็จย่าได้มีพระราชกระแสรับสั่งกับคุณชายดิศนัดดา ราชเลขานุการในพระองค์ฯ ว่า “ฉันจะปลูกป่าบนดอยตุง” และจะประทับอยู่ที่นี่ไม่ไปประทับที่สวิตเซอร์แลนด์อีกแล้ว
ในวันที่เสด็จพระราชดำเนินไปดอยตุงและมีรับสั่งแก่คุณชายดิศนั้น...รอบๆดอยตุง คือ พื้นที่ภูเขาหัวโล้นแทบไม่มีต้นไม้หลงเหลืออยู่เลยจากการถูกลักลอบตัด เพื่อใช้ทำไร่เลื่อนลอย และบางส่วนก็เป็นพื้นที่ปลูกฝิ่นด้วย
หลังจากคุณชายดิศได้นำพระราชดำริของสมเด็จย่าที่มุ่งมั่นจะปลูกป่าและหาอาชีพใหม่ให้แก่พี่น้องชาวไทยภูเขา โดยไม่ต้องพึ่งพาการปลูกฝิ่นต่อไปอีก...ไปปรึกษาหารือกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องซึ่งทุกฝ่ายต่าง ก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง...จึงได้เกิดโครงการพัฒนาดอยตุงขึ้นในที่สุด
ต่อมาทางมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯก็ได้เข้ามาดำเนินการสนับสนุนด้านการตลาด และการพัฒนาให้แก่ราษฎรในโครงการพัฒนาดอยตุงด้วยอีกแรงหนึ่ง ส่งผลให้โครงการนี้ประสบผลสำเร็จอย่างกว้างขวาง
ดังจะเห็นได้จาก “สินค้า” และผลิตภัณฑ์จากฝีมือชาวไทยภูเขา ภายใต้แบรนด์ “ดอยตุง” ได้กลายเป็นสินค้ายอดนิยมและเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศอยู่ในขณะนี้
ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือราษฎรกว่า 10,000 คน 1,602 ครัวเรือนจาก 27 หมู่บ้าน ในอาณาบริเวณดอยตุงต่างก็มีรายได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และไม่มีการหวนกลับไปปลูกพืชที่เป็นพิษภัยต่อชาวโลกอีกเลย
รวมทั้งบริเวณที่เคยเป็นป่าหัวโล้นก็กลับมาเขียวขจีอีกครั้งหนึ่ง
คุณชายดิศในฐานะราชเลขาธิการในสมเด็จย่าและเลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ต่อมาเลื่อนฐานะเป็นประธานมูลนิธิและที่ปรึกษามูลนิธิฯ คือ บุคคลที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จดังกล่าวมาโดยตลอด
...
เมื่อไม่นานมานี้ผมถามคุณชายว่าท่านเลื่อนตัวเองขึ้นไปเป็นที่ปรึกษามูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯซะแล้วอย่างนี้ จะหาใครที่ไหนมาทำงานบริหารแบบคลุกฝุ่นอย่างที่ท่านเคยทำได้ล่ะ?
ท่านตอบผมว่า คณะกรรมการเลือกไว้แล้ว เราได้ ดร.วิรไท สันติประภพ (อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ) มาเป็นเลขาธิการ และประธานกรรมการบริหาร...พวกเราดูใจดูฝีมือมานานแล้ว...ท่านเก่งจริง ทำงานจริง และรักคนยากจนจริงๆ
ส่วนคุณชายนั้นจะหันไปเน้นงานของ มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ที่รัฐบาลได้มอบหมายให้สำนักนายกรัฐมนตรี จัดตั้งขึ้นควบคู่ไปกับ สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ เพื่อนำแนวพระราชดำริไปเผยแพร่ให้ประชาชนเรียนรู้ หรือนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ตลอดจนการประกอบสัมมาอาชีวะต่างๆ
มูลนิธินี้ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2551 เพื่อฉลองพระชนมพรรษาครบ 80 และ 84 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และได้ดำเนินงานมากว่า 10 ปีแล้ว
มีการเข้าไปเลือกหมู่บ้านและชุมชนต่างๆ ที่จะนำแนวพระราชดำริไปปฏิบัติมาตลอดระยะเวลา 10 ปี และล่าสุดจากการประเมินผลโดยนักวิจัยจากสถาบันการศึกษา 3 แห่ง อันได้แก่ พระจอมเกล้าธนบุรี, ศรีนครินทรวิโรฒ และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย
พบว่า มูลนิธิปิดทองหลังพระฯ สามารถช่วยให้รายได้เฉลี่ยของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้น จาก 109 ล้านบาทในปี 2552 เป็น 2,670 ล้านบาทในปี 2562 หรือ 10 ปีให้หลัง และทำให้ราษฎรในพื้นที่โครงการผ่านพ้นเส้นความยากจนถึงร้อยละ 74
ในการสนทนาครั้งสุดท้ายระหว่างผมกับคุณชายดิศ (เมื่อ 1 เมษายนที่ผ่านนี่เอง) ดูท่านมุ่งมั่นมากกับงานชิ้นนี้ ทั้งในฐานะเลขาธิการมูลนิธิ และประธานกรรมการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระสืบสานแนวพระราชดำริ
ท่านไม่อยู่เสียแล้วอย่างนี้ จะได้ใครมาลุยงานนี้ก็ไม่รู้ซี...ผมเห็นชื่อ ดร.วิรไท สันติประภพ เป็นกรรมการอยู่ด้วยเช่นกัน อาจต้องขอแรงอดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติให้มาทำงานสำคัญอีกงานหนึ่งเสียกระมัง
พักผ่อนให้สบายเถอะเพื่อน จากระบบและการเตรียมตัวที่ดี ทำให้ งานของเพื่อนจะมีผู้ดูแลและสานต่ออย่างเข้มแข็งอย่างแน่นอน
ผมมั่นใจเหลือเกินว่าทั้งหมดที่คุณชายดิศทำไว้จะยังคงอยู่เป็นอนุสรณ์แห่งความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และทรง คุณประโยชน์ต่อประเทศไทยอันเป็นที่รักของเราตราบนานเท่านาน.
“ซูม”