ผมเขียนถึงเทศกาลกินเจ 2564 ไปแล้วถึง 2 ครั้งติดกันในคอลัมน์นี้...หากวันนี้จะเขียนอีกครั้งก็อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยครับ เพราะผม “ชื่นชอบ” และ “ประทับใจ” เทศกาลนี้จริงๆ

เหตุผลที่ผมชื่นชอบมีอยู่ 2 ประการ ดังได้เรียนไว้แล้วคือ ข้อแรก เหตุผลทางเศรษฐกิจ ซึ่งปรากฏว่าในเทศกาลกินเจที่ผ่านมาก่อให้เกิด“เงินสะพัด” จากการซื้ออาหารเจและการทำบุญสุนทานต่างๆถึง 40,000-50,000 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้อย่างมาก

ข้อสอง เป็นเหตุผล ด้านสังคม...เพราะเทศกาลกินเจทำให้ผู้คนหันมานึกถึงเรื่องบาปบุญคุณโทษ หันมากินผัก กินแป้ง แทนเนื้อสัตว์ เพื่อช่วยลดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ซึ่งถือเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง

เหตุผลข้อสองเป็นเหตุผลที่ผมชอบมากที่สุด เพราะในช่วงหลังๆนี้ สังคมไทยเรากลายเป็นสังคมที่ต้องแข่งขัน ต้องต่อสู้ ทำให้คนไทยเรากลายเป็นคนโหดมากขึ้น เห็นแก่ตัวมากขึ้น เอารัดเอาเปรียบคนอื่นมากขึ้น ฯลฯ

มีเทศกาลกินเจซึ่งจะช่วยทำให้จิตใจบริสุทธิ์ ผ่องใส คิดดีทำดี มีเมตตา มองโลกมองคนรอบด้านอย่างเป็นมิตร มาช่วยเบรกความรู้สึกร้ายๆเสียบ้าง ย่อมจะทำให้สังคมไทยเราดีขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย

ดังนั้น เมื่อผมอ่านข่าวว่าเทศกาลกินเจปีนี้จะกร่อยลง ผู้คนจะเลิกกินเจกันมาก เพราะไม่มีเงินซื้ออาหารเจ รวมไปถึงการจัดงานดังๆที่ประชาชนจะต้องมารวมตัวกัน อันจะเป็นเหตุแห่งการแพร่เชื้อโควิด-19 ในหลายๆพื้นที่ต่างก็ออกมาประกาศงดไปตามๆกัน

ผมจึงตัดสินใจเขียนถึงเทศกาลกินเจปีนี้ไปแล้วถึง 2 ครั้ง เพื่อจะช่วยจุด “กระแส” เทศกาลกินเจให้อยู่ในความนิยมของคนไทยต่อไป

ในช่วงชีวิตผมมี “วัฒนธรรมใหม่” จากต่างประเทศเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยที่เห็นได้อย่างชัดเจน 2 วัฒนธรรมด้วยกัน

...

วัฒนธรรมแรก คือ “วันแห่งความรัก” ซึ่งมาจาก “วันวาเลนไทน์” ของฝรั่งนั่นเอง

คนไทยเรามีความรักมานานแล้วและพูดถึงความรักในโอกาสต่างๆมาโดยตลอด แต่ไม่เคยมีวันแห่งความรักอย่างเป็นทางการ

จนกระทั่งประมาณ พ.ศ.2508-2509 เริ่มมีฐานทัพสหรัฐฯเข้ามาตั้งในเมืองไทย บรรดาทหารจีไอของสหรัฐฯก็นำ “วันแห่งความรัก” มาเผยแพร่...โดยแรกๆก็จัดตามบาร์ตามไนต์คลับใกล้ๆฐานทัพเป็นหลัก

ไม่กี่ปีต่อมา “วันแห่งความรัก” ก็ฮิตระเบิดเถิดเทิง แผล็บเดียวคนไทยยอมรับกันทั้งประเทศและยังสืบทอดต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้

อีกหนึ่งวัฒนธรรมไทยที่มาจากนอกแล้วฮิตในประเทศไทยก็คือ เทศกาล “กินเจ” นี่แหละครับ...ต้นกำเนิดอยู่ที่ประเทศจีน พี่น้องชาวจีนอพยพมาเมืองไทยนำมาเผยแพร่ตั้งแต่ปลายๆยุคกรุงศรีอยุธยา

ขึ้นชื่อลือชามากก็คือ “เทศกาลกินเจภูเก็ต” และจังหวัดในภาคใต้อีก 2-3 จังหวัดที่มีการจัดงานใหญ่มาทุกปี

แต่เพิ่งจะมาดังเป็นพลุแตกจัดใหญ่กันทั้งประเทศ...ไปไหนมาไหนจะเห็นอักษรภาษาจีนและธงสีเหลืองพรึบไปทั้งประเทศเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง

จากถ้อยแถลงของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เมื่อ 2 วันก่อน ที่ว่าปีนี้ค่าใช้จ่ายในเทศกาลกินเจจะลดลงมากที่สุด เมื่อเทียบกับการสำรวจครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2551 นั้น ชี้ให้เห็นว่าเทศกาลกินเจในระดับ ชาติบ้านเราน่าจะฮิตมาไม่ต่ำกว่า 13 ปี

ในการแถลงข่าวครั้งนี้มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยคาดหมายด้วยว่ายอดรวมการใช้จ่ายในเทศกาลกินเจ 2564 จะอยู่ที่ 40,141 ล้านบาทเท่านั้น ลดลงถึง 14.5 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีกลาย

ผมเชื่อครับว่ากร่อยแน่นอน...จึงได้ตัดสินใจออกมาเขียน “ประคอง กระแส” ถึง 2 ครั้ง...โดยย้ำว่ายังไงๆก็ขอให้มีเทศกาลนี้ต่อไปเถิด... จะกร่อยอย่างไรก็ไม่ว่าแต่อย่าเลิก...ปีหน้าโควิดซาค่อยว่ากันอีกที

วันก่อนผมเขียนขอบคุณกลุ่ม เซ็นทรัลพัฒนา ที่ประกาศจัดงานเทศกาลกินเจปีนี้ในห้างทั้ง 33 สาขาทั่วประเทศ...วันนี้ได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการอีก 2 เครือครับ ได้แก่ เดอะมอลล์กรุ๊ป กับ ไอคอนสยาม ก็ขอถือโอกาสขอบคุณเสียด้วยเลย

สรุป “เทศกาลกินเจ 2564” เริ่ม 6-14 ตุลาคมนะครับ จะรับประทานเจหรือไม่ก็สุดแต่ใจเถิด...แต่อย่าลืมทำใจให้บริสุทธิ์ คิดถึงเรื่องดีๆ เรื่องที่เป็นบุญเป็นกุศล แผ่เมตตา แผ่ความรัก ให้แก่คนไทยและเพื่อนร่วมโลกตลอดเทศกาลนี้ด้วยก็แล้วกัน.

“ซูม”