ผบช.ภ.4 จี้ติดคดีโกงโครงการ “คนละครึ่ง” และโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” เผย 1 ใน 3 ครูสาวให้การมัดครูหัวโจกชักชวนให้หาบัตรประชาชนจากชาวบ้านให้ค่าหัวคิวรายละ 50 บาท เบื้องต้นให้เร่งเอาผิดในส่วนที่ชาวบ้านถูกสวมสิทธิ์เตรียมประสานเจ้าหน้าที่รัฐแจ้งความในคดีฉ้อโกง เผยพบการกระทำผิดเพิ่มใน จ.ร้อยเอ็ด อีกรายผู้ใหญ่บ้านใน อ.ชุมแพ พาลูกบ้าน 38 คนแจ้งความถูกคนในหมู่บ้านหลอกเอาเลขบัตรประชาชนสวมสิทธิ์โครงการดังด้วย

ขณะที่ตำรวจ สภ.คอหงส์ เรียกชาวบ้านถูกอ้างชื่อใช้สิทธิ์เข้าพักโรงแรมที่ร่วมขบวนการทุจริต “เราเที่ยวด้วยกัน” ที่ถูกกองปราบฯลุยตรวจค้นมาสอบปากคำเพื่อขยายผลจับผู้กระทำผิด แฉมีทั้งสวมสิทธิ์โดยเจ้าตัวไม่รู้ ใช้เงินแลกบัตรประชาชน และชักชวนให้พัก 2-3 วัน แต่โรงแรมสวมสิทธิ์เต็มโควตา 10 วัน

ผบช.ภ.4 จี้คดีแก๊งครูร่วมขบวนการทุจริตโครงการดังรัฐบาล “คนละครึ่ง” และ “เราเที่ยวด้วยกัน” เอาเงินแจกชาวบ้านคนละ 200 บาท แล้วถ่ายรูปบัตรประชาชนนำข้อมูลไปลงทะเบียนสวมสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ ทำให้ประชาชนไม่สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “เราชนะ” รับเงินเยียวยาโควิด-19 เข้าแจ้งความที่ สภ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น ขอให้ดำเนินคดีนางบุหงา ดวงจันทร์ หรือครูฝน อายุ 38 ปี ครู ร.ร.บ้านโสกแต้ จนมีการขยายผลจับกุมนายภูผาภูมิ โมรีย์ อายุ 40 ปี ครูชำนาญพิเศษ ร.ร.บ้านหนองผือ-ราษฎร์ประสิทธิ์ อ.หนองเรือ กระทั่ง ผวจ.ขอนแก่น สั่งกำนันผู้ใหญ่บ้านตรวจสอบพบว่ามีชาวบ้าน 5 หมู่บ้านใน ต.ยางคำ อ.หนองเรือ จำนวน 500 คน ถูกครูสาว 3 คนร่วมอยู่ในขบวนการ โดยเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรม อ.หนองเรือ ลงไปรับเรื่องร้องทุกข์ถึงพื้นที่

ความคืบหน้าการกระชากโฉมหน้าขบวนการทุจริตโครงการช่วยเหลือประชาชนผู้ประกอบการของรัฐบาล เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 10 ก.พ. ที่ สภ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.4 ติดตามเร่งรัดการสอบสวนดำเนินคดีแก๊งโกงเงินหลวง โดยมีประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อถูกอ้างชื่อสวมสิทธิ์ทยอยเข้าแจ้งความร้องทุกข์เพื่อให้ดำเนินคดีกับ 3 ครูสาว คือครูอ้อ ครูนิด และครูพี่ ครูอัตราจ้างของเทศบาลตำบลยางคำ หลอกถ่ายรูปนำเลขบัตรประจำตัวประชาชนไปให้กับนายภูผาภูมิ โมรีย์ เพื่อสวมสิทธิ์ลงทะเบียนทั้ง 2 โครงการ

...

พล.ต.ท.ยรรยงกล่าวว่า ได้ตั้งคณะทำงานสืบสวนสอบสวนคดีสวมสิทธิ์โครงการรัฐ “คนละครึ่ง” และ “เราเที่ยวด้วยกัน” เพื่อรับผิดชอบสอบสวนดำเนินคดีกับขบวนการทุจริตดังกล่าว ตั้งแต่มีประชาชนใน อ.บ้านฝาง เข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.บ้านฝาง เมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งคดีที่ประชาชนในพื้นที่ อ.หนองเรือ ตกเป็นเหยื่อมีครูอัตราจ้างในพื้นที่ 3 คนร่วมกระทำความผิดมีส่วนเชื่อมโยงกับนายภูผาภูมิที่ถูกจับไปก่อนหน้านี้ วันนี้ทางทีมสอบสวนจะเร่งสอบปากคำชาวบ้านให้ครบทุกปากและจะออกหมายเรียกครูทั้ง 3 คนที่ถูกกล่าวหามาสอบสวน เพื่อดำเนินการตามขั้นตอน เบื้องต้นจะเอาผิดในส่วนของที่ชาวบ้านถูกสวมสิทธิ์ลงทะเบียนโครงการรัฐบาลทั้ง 2 โครงการก่อน พร้อมกันนี้ประสานไปยังส่วนของผู้เสียหายโดยตรงคือรัฐบาล เพื่อแจ้งความเอาผิดขบวนการสวมสิทธิ์ในข้อหาฉ้อโกง

ผบช.ภ.4 กล่าวต่อว่า ในส่วนของครูที่ถูกกล่าวหา พนักงานสอบสวนได้เชิญตัวครูอ้อมาสอบปากคำแล้วให้การว่า นายภูผาภูมิชักชวนให้ไปหาบัตรประจำตัวประชาชนของชาวบ้านมา โดยจะให้ค่าตอบแทนรายละ 50 บาท เมื่อได้บัตรประจำตัวประชาชนมาแล้วก็จะโอนเงินให้รายละ 250 บาท ครูอ้อนำเงินไปให้ชาวบ้านรายละ 200 บาท และหักเป็นของตัวเอง 50 บาท แต่จากการสอบสวนมีชาวบ้านบางรายได้เพียง 100 บาท ซึ่งทางพนักงานสอบสวนจะเรียกครูอีก 2 คนมาสอบปากคำตามขั้นตอน และเมื่อทางเจ้าหน้าที่รัฐเข้าแจ้งความก็จะแจ้งข้อหา ฉ้อโกงเพิ่มเติมกับทุกคนที่ร่วมขบวนการ นอกจากในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นแล้วยังมีอีกหลายพื้นที่ที่มีส่วนเชื่อมโยงในกระบวนการหลอกสวมสิทธิ์ และยังได้รับรายงานว่าพบการหลอกสวมสิทธิ์ชาวบ้านร่วมโครงการรัฐบาลใน จ.ร้อยเอ็ด คณะทำงานสืบสวนสอบสวนจะเข้าไปสอบสวนขยายผลต่อไป

ที่ สภ.ชุมแพ นายอรุณ เย็นวัฒนา ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 บ้านโนนตุ่น ต.หนองเสาเล้า อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น นำลูกบ้าน 38 คน เข้าแจ้งความกับ พ.ต.อ.รัตนสุข คำวงศ์ ผกก. และ พ.ต.ท.กฤติเดช สุพรรณ์ รอง ผกก. (สอบสวน) ขอให้ดำเนินคดีขบวนการสวมสิทธิ์ร่วมโครงการ “คนละครึ่ง” และ “เราเที่ยวด้วยกัน” โดยนายอรุณกล่าวว่า หลังจากตนประกาศเสียงตามสายว่ามีใครถูกหลอกถ่ายบัตรประชาชนไปสวมสิทธิ์โครงการดังกล่าวหรือไม่ ลูกบ้านทยอยเข้าแจ้งว่านางบุษยมาส ปลงจิตต์ เป็นคนในหมู่บ้านมาขอสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนไป โดยให้ค่าตอบแทนคนละ 200 บาท ต่อมาชาวบ้านใช้สิทธิ์ลงทะเบียนโครงการ “คนละครึ่ง” แต่ไม่สามารถลงทะเบียนได้ โดยระบบระบุว่า เลขบัตรประจำตัวประชาชนดังกล่าวได้ลงทะเบียนผูกกับหมายเลขโทรศัพท์หมายเลขอื่น และได้ลงทะเบียนใช้สิทธิ์ “เราเที่ยวด้วยกัน” แล้ว ซึ่งทราบว่ามีการนำหลักฐานของชาวบ้านไปมอบให้กับทนายความคนหนึ่ง จึงได้เข้าร้องกับศูนย์ดำรงธรรม ก่อนเข้าแจ้งความดังกล่าว ระหว่างนั้น พล.ต.ต.สุภากร คำสิงห์นอก รอง ผบช.ภาค 4 ได้เดินทางมาติดตามความคืบหน้าการสอบสวนคดีและร่วมสอบปากคำผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 และกำชับตำรวจให้เร่งสอบสวนดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทุกราย

ขณะที่การสอบสวนเอาผิดขบวนการโกงโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามลุยค้น 55 จุดใน จ.ชัยภูมิ และ จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 27 ม.ค. เริ่มเดินเครื่อง มีการเรียกผู้ถูกสวมสิทธิ์เข้าสอบปากคำ ที่ สภ.คอหงส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ประชาชนที่ถูกสวมสิทธิ์ 4 คนเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน โดย พ.ต.อ.ศักดิ์สิทธิ์ มีแสง ผกก.สภ.คอหงส์ เปิดเผยว่า ในพื้นที่ สภ.คอหงส์ มีผู้ที่ไปใช้สิทธิ์โครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ในโรงแรมที่พบการทุจริต จำนวน 7 ราย เรียกมาให้ปากคำในฐานะพยานเพื่อดำเนินคดีผู้ร่วมขบวนการโกง เบื้องต้นพบการกระทำผิดใน 3 กรณี คือ กรณีที่สวมสิทธิ์ชาวบ้านโดยที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่อง เป็นลุงอายุ 76 ปี กรณีที่ให้เงินแลกกับบัตรประชาชน และกรณีที่ไปเที่ยวจริงโดยพักแค่ 2 คืน 3 วัน แต่ทางโรงแรมสวมสิทธิ์ 10 วันเต็มตามโควตา ในส่วนของ จ.สงขลา เท่าที่ทราบมีคนถูกอ้างชื่อสวมสิทธิ์เข้าพักโรงแรมที่มีการทุจริตนับร้อยคน

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับการทุจริตโครงการเราเที่ยวด้วยกัน หลังจากที่ตำรวจกองปราบปรามเปิดปฏิบัติการจับกุมผู้ต้องหา ทั้งในส่วนของผู้ประกอบการโรงแรมและผู้รวบรวมสิทธิ์ ที่ จ.ชัยภูมิ และภูเก็ต ต่อมา พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ได้เรียกประชุมรอง ผบก.ดูแลงานสอบสวนแต่ละจังหวัดทั่วประเทศมาประชุม เพื่อรับทราบนโยบายแนวการสอบสวนผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ที่กระจายอยู่แต่ละจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีตำรวจกองปราบปรามเป็นผู้อธิบายขั้นตอนการสอบสวน การขยายผลและการดำเนินคดีต่างๆ เพื่อหาตัวผู้กระทำผิดที่มีจำนวนมากมาดำเนินคดีต่อไป ผลจากการประชุมดังกล่าวทำให้สามารถขยายผลต่อยอดไปยังกลุ่มผู้เกี่ยวข้องกับการทุจริตรายอื่นๆ ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศได้

...