นับแต่การระบาดโควิด-19 ในประเทศใหม่ๆ ผ่านพ้นมานานขวบเต็มแล้วที่มี “คนไทย” ไม่น้อยตกเป็น “ผู้โชคร้าย” กลายเป็น “ผู้ป่วยติดเชื้อไข้มรณะ” เข้าสู่การรักษาจนหายดีกลับมามีชีวิตใหม่ได้ปกติ
แต่ในช่วงก้าวผ่านพ้นเอาชนะ “วินาทีชีวิตวิกฤติจากการติดเชื้อโควิด-19” ที่ต้องรักษาตัวนานกว่าเดือนนี้ก็เป็นเหตุการณ์ “ฝันร้าย” ที่ไม่ใช่ง่ายในการลืมเรื่องราวอันเลวร้ายที่สุดในชีวิตไปได้โดยเร็ววันนี้
ท่ามกลางโรคโควิด-19 กลับมาระบาดระลอกใหม่หนักกว่าเดิมเช่นนี้ จากการกลายพันธุ์โควิด-19 สายพันธุ์จีเอช ที่ต่างจาก “สายพันธุ์อู่ฮั่น” เคยระบาดต้นปี 2563 มีผลให้ผู้เคยติดเชื้อครั้งนั้นสามารถติดเชื้อซ้ำอีกก็ได้
ประเด็นนี้ “ทีมสกู๊ปหน้า 1” ได้เยี่ยมเยือน ว่าที่ร้อยตรีนพดล ศรีทวีกาศ รู้จักในนาม “รองอ๊อด สารคาม” ผู้สื่อข่าวกีฬาสายมวยทีวีช่องหนึ่ง ผู้ผ่านการติดเชื้อโควิด-19 มีโอกาสพูดคุยถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตครั้งนี้ว่า
...
ย้อนไปช่วงแรกๆ...“โควิด-19 ระบาดใหม่” เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน มีผู้ติดเชื้อขยายรวดเร็ว ทำให้มีการ “ล็อกดาวน์อู่ฮั่น” ในคราวนั้น “รู้สึกเฉยๆ” ทำงานไม่มีการป้องกัน เพราะศูนย์กลางระบาดห่างไกลจากประเทศไทย
แต่ก็คงติดตามการแพร่ระบาดอยู่ตลอด เพราะเป็นเรื่องใหม่ “วงการแพทย์ทั่วโลก” จนกระทั่ง “โควิด-19” คืบคลานออกไปในหลายประเทศ ที่มีผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มรวดเร็ว และเสียชีวิตขึ้นเรื่อยๆในช่วงระบาดนี้ก็เป็นจังหวะฤดูกาล “ชาวจีน” เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากมาย ในบางส่วนก็เข้ามาชมการแข่งขันมวยไทยอยู่ด้วย
กระทั่งต้นปี 2563 ก็มี “คนไทยติดโควิด-19 รายแรก” ส่งผลให้ “ภาครัฐ” รณรงค์ให้ประชาชนสวมใส่หน้ากากอนามัย “ภาคเอกชน” ต่างตระหนักป้องกัน แม้แต่ “วงการมวยไทย” ก็ออกมาตรการ “ปิดสนาม” ยกเว้น “สนามมวยแห่งหนึ่ง” ใกล้ถึงรายการชิงแชมป์มวยไทยประจำปีในวันที่ 6 มี.ค.2563 ที่เตรียมงานไว้ไม่สามารถเลื่อนออกไปได้
จุดเปลี่ยนชีวิต “ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน” ก็เริ่มนับแต่เดินเข้าร่วม “งานแข่งขันมวยไทยชิงแชมป์” ในวันนั้น “สนามมวย” ก็มีมาตรการป้องกันเข้มงวดตามกระทรวงสาธารณสุขกำหนดทุกประการ หลังจากนั้นวันที่ 13 มี.ค.2563 “ดาราหนุ่มผู้รับหน้าที่พิธีกรบนเวที” ประกาศตัวว่า “ติดเชื้อโควิด-19” จากเวทีมวยรายการนี้
บรรดา “เซียนมวย” เริ่มติดเชื้อโควิด-19 เข้ารักษาในโรงพยาบาลรัฐและเอกชนต่อเนื่อง ทำให้ต้องกักตัวอยู่ห้องพักได้ 1 วันแล้วก็อาการไอแห้งๆ ในวันถัดมาก็มีอาการหนาวสั่น ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดเมื่อยตามตัวเหมือนเป็นไข้ต่ำๆ จนรู้สึกสงสัยว่า “ติดเชื้อแล้ว” ก่อนขับรถส่วนตัวไปตรวจที่สถาบันบำราศนราดูร และรอผล 2 วัน
ในวันที่ 16 มี.ค.2563 ทางสถาบันบำราศนราดูร ได้แจ้งผลตรวจ “เป็นบวก” มีการติดเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะ “ปอดมีปัญหารุนแรง” กลายเป็นความกังวลมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้รู้สึกว่า “เชื้อโควิด-19” ได้ลุกลามเข้าสู่ปอดเรียบร้อยแล้ว ที่ไม่ใช่เป็นการ “ติดเชื้อธรรมดา” สามารถมีโอกาส “เป็นตายเท่ากัน” ได้ทุกเมื่อ
“ยอมรับว่า “รู้สึกกลัวที่สุดในชีวิต” เพราะโควิด-19 เป็นโรคอาภัพน่ารังเกียจ ด้วยลักษณะเป็นโรคติดต่อได้รวดเร็ว และเป็นเรื่องใหม่ของวงการแพทย์ ที่ยังไม่มียารักษาเฉพาะมีโอกาสเสียชีวิตสูง เหตุนี้การเดินเข้าสู่โรงพยาบาลรักษาไปแล้วก็ไม่รู้เลยว่าจะได้กลับออกมาแบบมีชีวิต หรือหมดลมหายใจกันแน่” รองอ๊อด สารคาม ว่า
ทันทีที่วางสายโทรศัพท์ตัวเองถึงกับ “เข่าอ่อนยืนไม่ได้ต้องทรุดลงกับพื้น” ต้องใช้เวลาตั้งสติราว 10 นาที นั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่สุดท้ายก็ทำใจรับสภาพความจริง และจำยอมเดินเข้าสู่กระบวนการรักษาตามแพทย์แนะนำทุกประการ เพราะเป็นหนทางเดียวในการสู้กับเชื้อร้ายนี้ที่แฝงอยู่ในร่างกายให้หายเป็นปกติได้
...
เพราะอย่างน้อย...ก็มีผู้ติดเชื้อโควิด–19 จำนวนไม่น้อย ที่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี จนมีอาการหายดีออกมาใช้ชีวิตตามปกติเช่นเดิมจากนั้นก็ได้เริ่มแจ้งให้กับ “ครอบครัว พี่น้อง เพื่อนฝูง” ทราบเหตุการณ์นี้ผ่าน “สื่อเฟซบุ๊ก” เพื่อให้ผู้ที่เคยใกล้ชิดกับเราในช่วงนั้นได้มีมาตรการกักตัวเฝ้าระวังตามมา...
ในวันพรุ่งนี้ก่อนเดินทางเข้ารักษาตัวที่สถาบันบำราศนราดูร ก็ได้จัดเตรียมกระเป๋าที่มีเสื้อผ้าชุดเดียวเท่านั้น ส่วนใหญ่เน้นเอกสารสำคัญ เช่น โฉนดที่ดิน บัญชีธนาคาร สมุดบัญชีเจ้าหนี้ และลูกหนี้ เพื่อเตรียมไว้แจ้งกับครอบครัว และญาติๆ กรณีฉุกเฉินที่ไม่อาจกลับมาในห้องพักอีกได้ เพราะไม่คิดว่า “จะรอดชีวิต” กลับออกมาด้วยซ้ำ
ด้วยสาเหตุที่...“เชื้อไวรัสโควิด–19 ลงปอด” โดยเฉพาะตัวเองก็มีอายุมาก มีโรคประจำตัว ทั้ง เบาหวาน ความดัน ที่เข้าองค์ประกอบ “ผู้ป่วยเสี่ยงสูงในการเสียชีวิต” ก่อนออกจากห้องพักก็ได้ “หยิบรูปถ่ายลูกชายวัย 13 ปี” มานั่งดูให้กำลังใจตัวเองในการ “สู้กับโรคร้าย” พร้อมก้มกราบไหว้ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” เพื่อคุ้มครองให้ปลอดภัย
เมื่อเริ่มเข้าสู่...“กระบวนการรักษาโรค” ถูกกักตัวในห้องปลอดเชื้อความดันลบ ที่มี “ตำรวจ 2 นาย” ติดเชื้อโควิด-19 รักษาตัวอยู่แล้ว อีกทั้งยังมี “แพทย์และพยาบาล” คอยดูแลอย่างใกล้ชิด 24 ชั่วโมง มีการเก็บตัวอย่างเชื้อด้วยการแยงจมูก และตรวจเอกซเรย์ปอดทุก 2 วัน ในส่วนการรักษามีอยู่ 2 กลุ่ม คือ...
กลุ่มแรก...“ผู้ป่วยติดเชื้อไม่แสดงอาการ” ลักษณะไวรัสโควิด-19 ยังไม่ลงเข้าสู่ “ปอด” ทำให้มีอาการป่วยเหมือนเป็นไข้ธรรมดา “แพทย์” จะรักษาตามอาการ เช่น ตัวร้อน ปวดหัว ก็ให้กินยาแก้ปวดลดไข้ แต่ต้องอยู่ในโรงพยาบาลจนกว่าการติดเชื้อจะมี “ผลเป็นลบติดต่อกัน 2 ครั้ง” ในการตรวจทุก 2 วันต่อครั้งนี้
...
กลุ่มที่สอง...“ผู้ป่วยแสดงอาการ” จากไวรัสทำลายปอด ลักษณะอาการค่อนข้างรุนแรง “เป็นตายเท่ากัน” มีวิธีรักษาด้วยการกินยา 3 ชนิด คือ ยาต้าน hiv มาลาเรีย และฟาวิพิราเวียร์ มีรสขมมาก ทำให้กินยาแต่ละครั้งค่อนข้างลำบากและมีความรู้สึก “เบื่ออาหาร” กินอะไรไม่ได้ แต่ต้องฝืนทนกินให้ได้เพื่อให้ร่างกายมีเรี่ยวแรงต่อสู้กับโรค
“รองอ๊อด สารคาม” บอกต่อว่า เมื่อไม่สามารถรับประทานอาหารได้ปกติ ก็ทำให้ระบบทำงานร่างกายเริ่มอ่อนแรงไม่มีเรี่ยวแรง ส่งผลให้อาการป่วยทรุดลงเรื่อยๆ ที่ไม่อยากลุกออกจากเตียงนอนด้วยซ้ำ แม้แต่เดินไปเข้าห้องน้ำระยะทางเพียง 10 เมตร ต้องใช้เวลาค่อยๆเดินไปกลับราว 30 นาที เพราะมีความรู้สึกเหนื่อยมาก
เช่นนี้ระบบการหายใจเริ่มผิดปกติ “หายใจต่ำลง” ต้องใส่สายออกซิเจนทางจมูกช่วยให้ระบบหายใจได้สะดวกดีขึ้น 5 วัน ในระหว่างนี้ก็มี “อาการไอหนัก” ทั้งวันทั้งคืน “แพทย์” ก็พยายามดูแลรักษาอย่างดีเยี่ยมเช่นกัน
ตอกย้ำว่า...ทุกวันจะต้องนอนรอลุ้นกับผลตรวจอย่างใจจดใจจ่อตลอด เพื่อให้เป็น “ผลลบติดต่อกัน 2 วัน” แต่ด้วยผลตรวจก็มักเป็น “บวก” ที่เชื้อยังอยู่ในร่างกายเช่นเดิม ทำให้เครียดคิดมากแทบกลายเป็น “คนเป็นบ้า” โดยเฉพาะ “ผลเอกซเรย์ปอด” มีปัญหาลักษณะ “ปอดมีสภาพเยินเป็นรูจุดๆ” ที่เกิดจากโควิด-19 กัดกินทำลายไป
...
แต่ว่า...ก็ได้รับกำลังใจจาก “ครอบครัว เพื่อนฝูง” โทรศัพท์มาพูดคุย เป็นระยะ โดยเฉพาะ “แพทย์ พยาบาล” ต่างก็ให้ “เราร่วมสู้ไปกับหมอ” ทำให้มีกำลังใจรู้สึกดีขึ้นเสมือนเรามีที่พึ่งในการดูแลรักษาอยู่เสมอ จนตัดใจลุกขึ้นฮึดสู้ด้วยการ “ออกกำลังกายเล็กๆน้อยๆ” ในห้องพัก หรือช่วงการเข้าห้องน้ำ ทำให้มีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เข้าสู่การรักษาวันที่ 9...“พยาบาล” แจ้งผลตรวจ “เป็นลบ” และ “ผลเอกซเรย์ปอด” มีลักษณะฟื้นตัวดีขึ้น แต่ต้องรอผลการตรวจให้เป็นลบครั้งที่ 2 และเข้าสู่วันที่ 12...“แพทย์” ก็แจ้งว่า “ผลตรวจเป็นผลลบอีก และปอดฟื้นตัวดี” ให้เตรียมตัวกลับบ้านในช่วงบ่ายวันนี้ทำให้รู้สึกหัวใจพองโตเสมือน “ได้ชีวิตใหม่” อีกครั้งด้วยซ้ำ
การออกมานี้ก็ได้ “กักตัวอีก 14 วัน” ก่อนจะมาใช้ชีวิตปกติ แต่ก็ไม่ราบรื่นอย่างคิดฝันไว้ เพราะบางคนมี “ทัศนคติด้านลบต่อผู้เคยติดเชื้อ” แต่ก็ไม่สามารถห้ามความคิดคนนั้นได้ และใช้เวลาหลายเดือนกว่า “สังคม” จะเริ่มเข้าใจขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติดังเดิม และใช้ชีวิตด้วยความระวังกว่าเดิมอีกด้วย
ตอนนี้ได้เข้าร่วมโครงการบริจาค “พลาสมา” ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์รักษาผู้ป่วยโควิด-19 เสมือนเป็นเซรุ่มรักษาโรค ในการตอบแทนสังคม และวงการแพทย์ พยาบาล ที่ช่วยดูแลในการรักษาโควิด-19 จนหายมาถึงวันนี้ได้ สิ่งใดเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการทางการแพทย์ “รองอ๊อด สารคาม” พร้อมขอรับ...
โครงการฯมีการตรวจเลือดทุก 3 เดือน เพื่อทำวิจัยการสร้างภูมิคุ้มกัน ล่าสุดผลตรวจเป็นครั้งที่ 2 พบว่า “ร่างกายมีภูมิคุ้มกันป้องกันโควิด-19” สุดท้ายนี้ฝาก “คนไทย” ต้องพึงสังวรเสมอว่า “ทุกคนมีโอกาสติดเชื้อโควิด-19” ตลอดเวลา ดังนั้น อย่าใช้ชีวิตประมาท เพราะ “พลาดพลั้ง” อาจไม่สามารถย้อนกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้...
สถานการณ์ระบาดระลอกใหม่นี้ “ทุกคนในสังคม” ต้องช่วยกัน ทำได้ง่ายๆ...ด้วยการหมั่นล้างมือ ใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง แยกกันกิน เท่านั้นก็ช่วยได้เยอะมากแล้ว...และให้พี่น้องร่วมชาติและร่วมโลกทุกคน “การ์ดอย่าตก” จะได้ผ่านวิกฤติเจ้าโควิดไปด้วยกัน.