อินเดียเป็นประเทศที่มีการบริโภคน้ำมันปาล์มมากที่สุดในโลกเฉลี่ยปีละ 15 ล้านตัน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 40 ของน้ำมันเพื่อการบริโภคในประเทศทั้งหมด ปี 2562 อินเดียนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบ มูลค่ารวม 3,555 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยนำเข้าสูงสุดจากอินโดนีเซีย 66.03% รองลงมามาเลเซีย 26.25% สิงคโปร์ 5.02% ขณะที่นำเข้าจากไทยเป็นอันดับ 4 มูลค่า 89.64 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
เพื่อตอบสนองความต้องการปาล์มน้ำมันที่เพิ่มขึ้นตลอด และบรรเทาภาระผู้บริโภคจากราคาสินค้าหมวดอาหารที่เพิ่มขึ้น รัฐบาลอินเดียจึงประกาศลดภาษีนำเข้า (Crude Palm Oil) รอบแรก ไปเมื่อมกราคมที่ผ่านมา จากเดิมร้อยละ 40 เหลือร้อยละ 37.5 สำหรับกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน
ล่าสุดได้ประกาศลดอีกรอบ เหลือร้อยละ 27.5
แม้ส่วนแบ่งตลาดน้ำมันปาล์มดิบของไทยในอินเดีย ยังมีสัดส่วนน้อย เมื่อเทียบกับอินโดนีเซียและมาเลเซีย แต่การลดอัตราภาษีนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบลงอีกร้อยละ 10 น่าจะช่วยเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าน้ำมันปาล์มของไทยไปตลาดอินเดียให้ขยายตัวมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะการส่งออกจากท่าเรือภาคใต้ฝั่งตะวันตกไปท่าเรือฝั่งตะวันออกของอินเดีย อาทิ เมืองเจนไนและโกลกาตา ที่ช่วยให้ ต้นทุนการขนส่งไม่สูงจนเกินไป และช่วยให้แข่งขันด้านราคากับประเทศคู่แข่งอย่างมาเลเซียได้
แต่ผู้ประกอบการไทยควรศึกษามาตรฐานน้ำมันปาล์ม ภายใต้กรอบความยั่งยืนของน้ำมันปาล์มอินเดีย (Indian Palm Oil Sustainability Framework) หรือ IPOS ด้วย เพื่อรองรับเงื่อนไขของเขา
จากอานิสงส์ดังกล่าว กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้เตรียมแผนจัดกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจออนไลน์ (Online Business Matching) หรือ OBM ระหว่างผู้ประกอบการไทยและผู้นำเข้าอินเดีย ในสินค้าน้ำมันปาล์ม ในวันที่ 19 มกราคม 2564
...
พ่วงด้วยกิจกรรม OBM สินค้าประเภทอื่นๆ ทั้งไม้ยางพารา เฟอร์นิเจอร์ อาหารสัตว์เลี้ยง ของเล่นเด็ก เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ฮาลาล ภายใต้ชื่อกิจกรรม Sourcing for India ระหว่างวันที่ 18-22 มกราคม 2564.
สะ-เล-เต