“บุญทรง” อดีต รมว.พาณิชย์อ่วม โดนจำคุกเพิ่มอีก 6 ปี รวมเป็น 48 ปี หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์คดีทุจริตระบายข้าวจีทูจี พร้อมลงโทษพวกที่ร่วมกันทุจริตมีทั้งรอลงอาญา และจำคุกตั้งแต่ 4-48 ปี ลดหลั่นกันไป รวมทั้งให้ร่วมกันชดใช้เงินกว่า 97 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย

“บุญทรง” อ่วม โดนเพิ่มอีกคดีโทษจำคุก 6 ปี รวมของเดิมเป็น 48 ปี หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาคดีทุจริตระบายข้าวจีทูจี ที่อัยการฟ้องผู้เกี่ยวข้อง 28 ราย เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 6 ก.ย. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลอ่านคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ฟ้องนายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ กับพวกรวม 28 คน (หนีไปสองคนแต่ถูกศาลพิพากษาจำคุกในภายหลัง) เป็นจำเลยฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นเจ้าพนักงานเข้ามีส่วนได้เสียเกี่ยวเนื่องกับกิจการตาม ป.อาญามาตรา 151 กับ 157 และความผิดตาม พ.ร.บ.การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐไม่เป็นธรรม (ฮั้วประมูล)

จากกรณีปี 2559 คณะกรรมการ ป.ป.ช.สอบสวนพบว่า พวกจำเลยเป็นคณะกรรมการระบายข้าวกำหนดโครงการรับซื้อข้าวจากชาวนา หรือโครงการระบายข้าวจีทูจี เพื่อช่วยอุดหนุนชาวนาให้มีโอกาสนำข้าวมาขายกับผู้ซื้อในต่างประเทศ แต่พวกจำเลยกลับเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ค้าข้าวในประเทศหลายรายที่นำข้าวเปลือกมาเข้าโครงการ รวม 4 สัญญา ในราคารัฐต่อรัฐ กำหนดให้บริษัทกวางตุ้ง กับบริษัทห่ายหนาน จากประเทศจีนได้รับซื้อในราคาจีทูจีหรือรัฐต่อรัฐ ทั้งที่เป็นราคาต่ำกว่าท้องตลาด ซ้ำบางส่วนยังเป็นการอุปโลกน์ไม่มีซื้อขายข้าวกันจริง ทำให้รัฐเสียหาย 16,000 ล้านบาท โดยจำเลยเป็นกลุ่มนักการเมือง กลุ่มนักธุรกิจ กับกลุ่มบริษัทข้าว

...

ศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 ส.ค.60 ให้จำคุกนายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ 36 ปี จำคุกนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ 42 ปี จำคุกนายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าข้าวต่างประเทศ 40 ปี จำคุกนายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตรองอธิบดีกรมค้าข้าวต่างประเทศ 32 ปี จำคุกนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง 48 ปี เป็นต้น ส่วนจำเลยอื่นจำคุกต่างกันไป ตั้งแต่ 4-48 ปี และศาลวางโทษปรับเอกชน 3 ราย คือ บจก.สยามอินดิก้า เป็นเงิน 1 ล้านบาท บจก.กีธา พร็อพเพอร์ตี 25,000 บาท และปรับ น.ส.ธันยพร จันทร์สกุลพร บุตรสาวเสี่ยเปี๋ยง 40,000 บาท กับให้ บจก.สยามอินดิก้า-น.ส.ธันยพร ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายกับกระทรวงการคลัง จำนวน 1,294,109,764.80 บาทด้วย

นอกจากนี้ให้ บจก.สยามอินดิก้า นายอภิชาติ และนายนิมล หรือโจ รักดี คนสนิทนายอภิชาติ ร่วมกันชดใช้กระทรวงการคลัง 16,912,128,273.66 บาท พร้อมดอกเบี้ยด้วย โดยยกฟ้องกลุ่มญาตินายอภิชาติ และกลุ่มโรงสีกับผู้บริหารโรงสี รวม 8 คน หลังจากนั้นไม่นาน ศาลฎีกาลงโทษจำคุกจำเลยที่หนี คือ พ.ต.นพ.วีรวุฒ หรือหมอโด่ง วัจนะพุกกะ เลขานุการนายบุญทรง 72 ปี จำคุกนายสุธี เชื่อมไธสง เลขานุการเสี่ยเปี๋ยง 32 ปี

สำหรับบรรยากาศที่ศาลฎีกา ศาลกำหนดให้สื่อมวลชนรวมกันที่ประตูฝั่งคลองหลอดเท่านั้น รวมทั้งมีการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ข้าราชการศาลที่จะเข้าทำงานในอาคารอย่างละเอียด มีการกั้นรั้วเหล็กมี รปภ.คุมเข้ม เพื่อรักษาความปลอดภัยจนเวลา 11.00 น. จำเลยที่ถูกขังเดินทางมาศาล ก่อนถูกนำตัวเข้าห้องพิจารณาทันที

ขณะที่บรรยากาศโดยรอบอาคารศาลฎีกาได้จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและ รปภ.ของศาล กระจายอยู่โดยรอบถนนหน้าหับเผย ถึงศาลอุทธรณ์คดีชำนาญพิเศษ (อาคารศาลเยาวชนเดิม) โดยในส่วนของกลุ่มทนายความ ญาติจำเลย อาทิ นายเดชนัฐวิทย์ เตริยาภิรมย์ บุตรชายนายบุญทรง อดีตผู้สมัคร ส.ส.พลังประชารัฐ กับผู้ติดตามที่จะเข้าร่วมฟังคำพิพากษาภายในห้องพิจารณาคดี มีข้อปฏิบัติเข้มงวดเช่นกัน มีการตรวจเช็กเครื่องมืออุปกรณ์สื่อสาร รวมทั้งการเช็กรายชื่อกับบุคคลที่ได้เสนอชื่อมาในการเข้าฟังคำตัดสินวันนี้ โดยการเข้าฟังคำพิพากษานั้น อนุญาตให้เฉพาะคู่ความในคดีและผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ส่วนสื่อมวลชนให้รอการเผยแพร่ข่าวที่ด้านนอกอาคาร

ต่อมาเวลา 19.00 น. ศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษาแก้ ให้จำคุกนายบุญทรง จำเลยที่ 2 เพิ่มอีก 6 ปี รวมโทษจำคุกนายบุญทรงจากโทษเดิม 42 ปี เป็นจำคุกทั้งสิ้น 48 ปี และให้ลงโทษกลุ่มบริษัทโรงสี ได้แก่ นายปกรณ์ ลีศิริกุล กรรมการบริษัท จำเลยที่ 26 และนางประพิศ มานะธัญญา กรรมการบริษัท เจียเม้ง จำกัด จำเลยที่ 28 คนละ 4 ปี พร้อมปรับคนละ 25,000 บาท นอกจากนี้ ยังให้ปรับนิติบุคคล ซึ่งเป็นโรงสีอีก 4 ราย คือห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงสีกิจทวียโสธร จำเลยที่ 22 บริษัท กิจทวียโสธรไรซ์ จำกัด โดยนายทวี อาจสมรรถ กรรมการ จำเลยที่ 24 บริษัท เค.เอ็ม.ซี. อินเตอร์ไรซ์ (2002) จำกัด จำเลยที่ 25 และบริษัท เจียเม้ง จำกัด จำเลยที่ 27 อีกรายละ 25,000 บาท โดยที่การกระทำของนายทวี อาจสมรรถ หุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 23 เป็นความผิดหลายกรรม ให้ลงโทษ 2 กระทง รวมจำคุกจำเลยที่ 23 จำนวน 8 ปี และปรับ 50,000 บาท โดยที่พฤติการณ์ของกลุ่มโรงสี จำเลยที่ 23, 26, 28 นั้น เห็นสมควรให้รอลงอาญาไว้คนละ 3 ปี

นอกจากนี้ ยังให้กลุ่มโรงสีจำเลยที่ 22-23 ชดใช้เงิน 27 ล้านบาทให้กับกระทรวงการคลัง จำเลยที่ 25-26 รวมกันชำระเงิน 15 ล้านบาท และจำเลยที่ 27-28 ให้ร่วมกันชดใช้เงิน 55 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ได้มีการกำหนดในคำพิพากษานี้ตามที่อัยการสูงสุด โจทก์ยื่นอุทธรณ์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามที่ศาลฎีกาฯมีคำพิพากษา

โดยวันนี้องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ได้ออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดของจำเลยแต่ละคนตามคำพิพากษาแล้ว พร้อมออกคำบังคับการชดใช้ค่าเสียหายในส่วนแพ่งให้กับกระทรวงการคลังตามคำพิพากษาด้วย

ด้านนายเดชนัฐวิทย์ เตริยาภิรมย์ บุตรชายนายบุญทรง กล่าวภายหลังฟังคำพิพากษาของศาลฎีกา ว่า นายบุญทรงค่อนข้างช็อกกับผลคำพิพากษาเพราะเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อน แต่ต้องยอมรับเพราะถือว่าได้โอกาสในการพิสูจน์ตัวเองครั้งที่สองแล้ว ซึ่งก็ดีมากแล้ว ส่วนสุขภาพของนายบุญทรงหลังจากผ่าตัดไปหนึ่งรอบอาการดีขึ้นแต่ยังเหลือผ่าหลัง เนื่องจากอาการชาที่ขายังไม่หาย มีปัญหาเรื่องการเดินเล็กน้อย พ่อย้ำว่าทำหน้าที่ทางการเมืองให้ดีที่สุดตามที่ตั้งใจ และให้มีความเข้มแข็ง พ่อเคยเตือนตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาทำการเมืองแล้ว วันนี้ตนมาให้กำลังใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรกันมาก ส่วนด้านกฎหมายถือว่าคดีสิ้นสุดเพียงเท่านี้ คงไม่สามารถทำอะไรเพิ่มเติมได้อีก ส่วนเรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษเป็นอีกหนึ่งแนวคิดที่จะดำเนินการต่อไป

...