“แต่ละปีโรงงานจะรับซื้อมะขามจากชาวสวนมาอบแห้งเป็นเนื้อมะขาม 100% มะขาม 100 ตัน แต่ได้เนื้อ 30 ตัน อีก 70 ตันเป็นเมล็ดและเปลือกกลายเป็นขยะ ต้องจ้างชาวบ้านมาขนออกไป เพราะทิ้งไว้เมล็ดมะขามจะงอกกลายเป็นวัชพืชกำจัดยาก จึงต้องใช้วิธีเผาซึ่งกลายเป็นปัญหามลพิษ เกิดหมอกควันรบกวนชุมชน”

นายชัยวัฒน์ ศรีเทศ ชาวตำบลนางั่ว อ.เมืองเพชรบูรณ์ จ.เพชรบูรณ์ เผยว่า หลังจากหาวิธีกำจัดเมล็ดมะขามนานหลายปี จนกระทั่งไปพบกับ ภาคภูมิ เพิ่มมงคล นักพัฒนานวัตกรรมเชิงพาณิชย์ จึงปรึกษาหาวิธีนำเมล็ดและเปลือกมะขามสามารถใช้ทำประโยชน์อะไรได้บ้าง

ถึงได้รู้...เมล็ดมะขามมีสารไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hydrolyzed Hyaluronic acid) เป็นสารให้ความชุ่มชื้นเกรดพรีเมียมชั้นดี ที่อุตสาหกรรมเครื่องสำอางทั่วโลกนิยมนำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

สารให้ความชุ่มชื้นที่ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง มีอยู่ 2 กลุ่ม...กลุ่มแรกได้จากการเพาะเลี้ยงเชื้อแบคทีเรีย โดยใช้เนื้อไก่เป็นอาหารเพาะเลี้ยง แต่วิธีนี้ทำให้เกิดความกังวลกลัวจะติดเชื้อโรคจากสัตว์ปีก

...

ส่วนกลุ่ม 2 ได้จากธรรมชาติโดยเฉพาะในเมล็ดมะขาม เมล็ดองุ่น เปลือกสนฝรั่งเศส

ปี 2559 จึงได้ร่วมกับดร.ธัญชนก เมืองมั่น นักวิจัยจากศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) พัฒนาวิธีการสกัดเมล็ดมะขามเพื่อให้สารสร้างความชุ่มชื้น

นำเมล็ดมะขามสะอาดมาแช่ในตัวทำละลายกลุ่มโพลิแซ็กคาไรด์นาน 8 ชม. จะได้สารออกฤทธิ์ที่มีสรรพคุณทางเภสัชวิทยาในด้านการต้านอนุมูลอิสระ ต้านการเกิดเม็ดสีผิว ช่วยให้ผิวกระจ่างใสกระตุ้นการสมานผิวจากบาดแผล และต้านการอักเสบ

เมล็ดมะขาม 10 กก. แช่สารตัวทำละลาย 90 กก. จะได้สารสกัดที่ให้ความชุ่มชื้น 100 กก. ขายได้มูลค่าสูงถึง 3,000,000 บาท เพราะในวงการเครื่องสำอางสารตัวนี้ซื้อขายกันในราคา กก.ละ 30,000–45,000 บาท.

เพ็ญพิชญา เตียว