“หวย”...“ลอตเตอรี่” คนที่ไม่เล่นไปยัดเยียดอย่างไรก็ไม่เอาเพราะเขาไม่เล่น บางคนซื้อเพราะสงสารคนพิการคนตาบอด เอาเป็นว่าคนที่ซื้อก็คือคนที่เล่นจริงๆ พี่มีโควตาขายใบละ 80 บาท แต่เดินไปเจอคนขายใบละ 100 บาท ถ้าเลขชอบก็ซื้อเพราะเป็นคนเล่น เคยซื้อเขาประจำ

แล้วก็มีข่าวอยู่เนืองๆว่าจะผุด “สลาก 12 นักษัตร” ปลุกผีหวยบนดิน...หวยออนไลน์ขึ้นมาใหม่กันอีก หนุ่มใหญ่เจ้าของโควตาลอตเตอรี่ 5 เล่มย่านจังหวัดนนทบุรีมีแผงค้าขายหวยจุด ยืนราคาใบละ 80 บาท มองว่า ถ้าเกิดขึ้นมาจริงๆสถานการณ์คนเล่นหวยบ้านเราจะพลิกผันขึ้นมาอีกครั้ง

“...ก็เจ๊งเลย จะมีคนที่คืนโควตาสลากกันเยอะมาก หวนกลับไปวังวนเดิมๆแน่นอน ตอนนี้ทุกคนที่ได้โควตาอย่าคิดว่าได้เยอะนะ ทำยังไงยี่ปั๊วก็รวย จริงๆแล้วหวยไม่ต้องแก้ ไปแก้เรื่องปากท้อง ขายอาหารแพงเสียดีกว่า”

ปกติปัญหาที่เกิดขึ้นในวงการ “หวย” ในวันนี้ก็คือ “คนเล่น” ก็เล่นอยู่แล้ว คนรวมชุดยี่ปั๊วรายใหญ่รายย่อยมีเงินก็รวมกันอยู่แล้ว

“คนเล่น” ก็จะมีแค่เล่น “หวยใต้ดิน” กับ “หวยรัฐบาล” คนที่เล่นหวยใต้ดินบางครั้งก็โดนเบี้ยว รัฐบาลยังไงก็ได้อยู่แล้วถ้าถูกไม่มีเบี้ยวแก้ปัญหาหวยแพง...สู้หวยใต้ดินอยากจะบอกว่าอย่าไปแก้อย่างอื่น มีหวยจุดบังคับขายใบละ 80 บาทอยู่แล้ว ยังไงประชาชนก็หาซื้อลอตเตอรี่ได้ในราคาใบละ 80 บาท

ผุดหวยอื่นๆหรือหวยออนไลน์ขึ้นมา ก็จะกลายเป็น 3 ทางเลือก... จะเกิดแบ่งเค้กกัน หนุ่มใหญ่เจ้าของแผงหวยจุดโควตา 5 เล่ม บอกให้ลองคิดกันง่ายๆว่า ย้อนไปสมัยรัฐบาลนายกฯทักษิณตัดสินกันไปแล้วว่าผิด มอมเมา แล้วจะมาเริ่มทำกันอีก...ควรหรือไม่ควร? ดีหรือไม่ดี?

“หวย...ทำกันมาเนิ่นนานเต็มทีแล้ว กลุ่มนายทุน...คนมีเงินอยู่แล้วก็มีแต่ได้กับได้ ส่วนคนที่ได้นิดๆหน่อยๆก็มีแต่คนจน รัฐบาลทำได้แล้ววันนี้คือรวมจุดได้แล้ว จุดที่มีลอตเตอรี่ขายใบละ 80 บาท คนที่โวยวายที่ออกมาพูดกันเอาเข้าจริงๆเล่นหวยจริงจังแค่ไหน หรือแค่โวยวายกันไปตามกระแส”

...

“หวยชุด” แรกๆที่พิมพ์สลากออกมาก็คิดว่าไม่สามารถรวมชุดได้ แต่ไปๆมาๆก็ทำกันได้ ยิ่งออกมา 2 ใบคู่ ไม่ต้องทำอะไรในเล่ม แพ็กปุ๊บก็ขายได้เลย หรือไปซื้อมาตอนซื้ออาจจะถึงหรือไม่ถึงใบละ 80 บาท แต่ตอนขายก็บวกกำไรไปอีกใบละ 1 บาทค่าบริหารจัดการ

ทีนี้ คนที่ไปซื้อ หากไม่เล่นหวยชุดก็ซื้อแค่ใบ...สองใบ ไม่ซื้อชุดต่างกับคนที่ซื้อหวยชุดนิยมเล่นหวยชุดอยู่แล้วเป็นกลุ่มลูกค้า ที่สำคัญคนกลุ่มนี้ไม่โวยวายหรอกขอให้หาให้ได้เถอะ เป็นความต้องการของตลาดคนกลุ่มนี้ “เลขส่วนใหญ่ที่เอา ก็ต้องสั่ง เป็นเลขสวย และต้องไม่ลืมว่า...เราจะคิดว่าคนขายจะได้กำไรอย่างเดียวไม่ได้นะ อย่างที่บอกกันแล้วเลขไม่สวย ไม่ดัง บางงวดขายไม่ออกก็ต้องแบกรับเอาไว้เอง ไม่มีใครช่วยได้”

และ...ยิ่งรัฐบาลพิมพ์สลากออกมาเพิ่ม ยิ่งออกมามากเท่าไหร่ คนเดินเร่ขายก็ยิ่งขายได้น้อยลง เป็นสถานการณ์สลากลอตเตอรี่เหลือ ขายไม่ออกจะหวนกลับมาเกิดขึ้นแน่นอน

นักปราชญ์เคยกล่าวไว้ว่า “ย่อมไม่มีความสุจริตในทุกวงการของการพนัน” นั้นยังมีความหมายและความสำคัญอยู่ในปัจจุบัน เมื่อนักการพนันเข้าไปสู่วงจรของการพนันแล้วก็ย่อมหาวิธีได้มาซึ่งทรัพย์สินเงินทองที่ตนเองต้องการ เมื่อไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล เมื่อไม่ได้ทางตรงก็เอาทางอ้อม

ดังนั้น...เทคนิคหรือกลโกงชนิดต่างๆก็ตามมาอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย

สุดท้าย...การเล่นการพนันในประเทศไทยนั้นผิดกฎหมาย จึงมีนักพนันเดินทางออกไปเล่นการพนันในประเทศเพื่อนบ้าน นำเงินของประเทศไทยออกไปนอกประเทศจนกลายเป็นที่รู้จักของผู้คนในสังคมไทยอยู่แล้ว

นักพนันเหล่านั้นก็อ้างว่า “เป็นความนิยมชมชอบส่วนตัวบ้าง ไปท่องเที่ยวในต่างประเทศบ้าง เป็นสิทธิส่วนตัวบ้าง ได้กระทำถูกต้องตามกฎหมายบ้าง” แต่หารู้ไม่ว่าเป็นพฤติกรรมที่ทำลายศาสนา...ศีลธรรมอันดีของสังคมไทยเพราะการพนันเป็นอบายมุข เป็นทางแห่งความเสื่อม ความฉิบหาย

พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก ประธานมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน เจ้าอาวาสวัดบางไส้ไก่ กทม. บอกว่า การมีแนวความคิดให้มีหวยนักษัตรก็เช่นเดียวกัน เป็นการมอมเมาประชาชนของประเทศไทยอย่างชัดเจนมาก หวยของรัฐบาลที่ผลิตออกมามอมเมาประชาชนในสังคมไทยอยู่ในขณะนี้ก็มอมเมาอยู่มากแล้ว ยังจะคิดหาวิธีมอมเมาประชาชนให้มากขึ้นมาอีก โดยอ้างว่าจะเป็นการหารายได้เข้ารัฐบ้างก็ตาม

หยุดเถิด...ความคิดหรือนโยบายเช่นนี้ เราควรมีนโยบายในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนของประเทศรู้จักขยันทำมาหาเลี้ยงชีวิตและครอบครัวตามแนวหลักธรรมคำสอนของศาสนากันเถิด

ถ้าตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาก็คือ “หัวใจเศรษฐี” คือ อุ อา กะ สะ เพียงสี่พยางค์เท่านั้น คนที่ตั้งใจทำ คนที่ขยันทำ คนที่มีความแน่วแน่ก็ย่อมมีโอกาสที่จะเป็นเศรษฐี

อุ คือ อุฏฐานสัมปทา การขยันหมั่นเพียรลุกขึ้นมาดำเนินการ ต่อสู้ความมุ่งมั่นบากบั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เอาความขยันหมั่นเพียรหรือทางพระเรียกว่า “วิริยะ” เป็นที่ตั้ง...ทุกสิ่งทุกอย่างต้องรู้จักต่อสู้ มีความจริงใจ ตั้งใจเป็นที่ตั้งแล้วเริ่มต้นดำเนินการไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบอาชีพใด

อา คือ อารักขสัมปทา การรู้จักรักษาสมบัติหรือทรัพย์สินที่แสวงหามาได้นั้นให้คงอยู่หรือใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด คนโบราณจึงสอนไว้ว่าเมื่อได้ทรัพย์สินเงินทองมาได้ให้แบ่งออกเป็นสี่ส่วน...

สองส่วนแรกขอให้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและการประกอบอาชีพภายในครอบครัว ใช้เลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัวให้เป็นไปอย่างมีปกติสุข อีกหนึ่งส่วนขอให้แบ่งปันช่วยเหลือผู้อื่นหรือผู้คนในสังคมในรูปแบบต่างๆ ทั้งงานส่วนรวมบ้าง ความจำเป็นส่วนบุคคลบ้าง หรือเรียกว่า “ภาษีสังคม”

และอีกส่วนหนึ่งขอให้เก็บเอาไว้ใช้ในวันข้างหน้าอันจะเป็นการต่อยอดให้กับชีวิตในอนาคต แต่ความเป็นจริงแล้วคนเราเมื่อหามาได้เท่าใดก็มักใช้ในหมวดที่หนึ่งไปจนหมด ด้วยเหตุผลที่ว่ารายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ส่วนหมวดที่สองและหมวดที่สามไม่เคยเกิดขึ้นเลย ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ย่อมแต่จะ “เป็นยาจก” อยู่ตลอดไป

...

ดังนั้นจึงขอให้รู้จักฝืนใจตนเองบ้าง คิดถึงวันข้างหน้าบ้าง

ถ้าทำได้โอกาสที่จะกลายเป็น “เศรษฐี” ก็ยังคงรออยู่

กะ คือ กัลยาณมิตตตา การรู้จักคบหาสมาคมเพื่อนที่ดี ทั้งในครอบครัว เพื่อนในบ้านใกล้เรือนเคียง ในสถานที่ทำงาน ในสังคม การมีเพื่อนที่ดี
ย่อมถือว่าประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิต...การประกอบอาชีพแล้วอีกระดับหนึ่ง คำโบราณที่กล่าวไว้ว่า “มิตรดีเป็นศรีแก่ตัว มิตรชั่ว พาตัวอัปรีย์” ก็ยังมีความหมายและใช้ได้อยู่

สะ คือ สมานัตตตา การรู้จักวางตนเสมอต้นเสมอปลาย รู้จักที่ต่ำที่สูง รู้จักการใช้จ่ายในชีวิต...ครอบครัวอย่างเสมอต้นเสมอปลายไม่ใช้จ่ายโดยทุ่มเทไปกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งส่วนมากก็มักจะสูญหายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน

อย่าคิดรวยทางลัดด้วยการตกไปในหลุมอบายมุข...หยุดเถิดความคิดที่จะทำลายคุณภาพชีวิตของผู้คนในชาติ หยุดเถิดการหารายได้ที่มีแหล่งกำเนิดมาจาก “อบายมุข” คุณมีอำนาจและมีโอกาสทางสังคมแล้ว อย่าได้ทำลายสังคมและชาติบ้านเมืองด้วย “อบายมุข” พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก กล่าวทิ้งท้ายว่า

“อบายมุขยุคนักษัตรนี้...ขอจงสูญหายไปจากสังคมไทยขอจงหายนะไปกับการกระทำที่ขัดหลักธรรมคำสอนของศาสนาและทำลายวิถีชีวิต คุณภาพชีวิตของคนไทย”.