“มูลนิธิชีววิถี” จี้จับตาหลัง รมช.เกษตรฯ ควงแขน 11 นักลงทุนสหรัฐฯ เข้าหารือ “เสี่ยหนู” เรื่องกัญชา มองไกลถึงขั้นทำส่งออก หวั่นเกิดนอมินีฮุบผูกขาด พร้อมติดตามเรื่องการขอสิทธิบัตรกัญชาเหตุ ม.44 หมดอำนาจแล้ว ขณะที่ “อนุทิน” โต้ไม่เอื้อประโยชน์ให้นายทุนแน่นอน ลั่น 2-3 วัน เตรียมตีทะเบียนหมอพื้นบ้าน

ที่กระทรวงสาธารณสุข เวลา 17.00 น. วันที่ 30 ก.ค. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข พร้อมด้วยนายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรและสหกรณ์ ร่วมประชุมหารือเกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายการใช้กัญชาในทางการแพทย์ กับนักวิจัยและนักลงทุนชาวสหรัฐอเมริกาและอิสราเอลจำนวน 11 คน พร้อมด้วยตัวแทนจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ใช้เวลาหารือประมาณ 2 ชั่วโมง

หลังจากนั้นนายประภัตรกล่าวภายหลังการหารือว่า ตนได้รับการประสานจากนักวิจัยและผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกัญชาที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกาและอิสราเอล หลังทราบว่ารัฐบาลไทยมีนโยบาย ส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้จากกัญชา จึงมีความสนใจที่จะขอเข้าแลกเปลี่ยนความเห็นกับ สธ. และเมื่อมีการปลูกแล้วจะต้องมีคนมารับซื้อ จะปลูกใช้ผลิตอย่างเดียวคงไม่ได้ แต่จะต้องมองผลิตภัณฑ์อื่นที่ไม่ใช่ยาเพื่อส่งออกด้วย เช่น ผสมในเครื่องสำอาง ยา เป็นต้น ซึ่งประเทศไทยคงจะมีการเดินหน้าเรื่องนี้ต่อไป เพื่อให้ถึงมือเกษตรกรมีรายได้จากการปลูกกัญชา

ด้านนายอนุทินกล่าวว่า การหารือในครั้งนี้เป็นความหวังดีของกระทรวงเกษตรฯที่ต้องการหาทางเลือก สร้างรายได้ให้กับเกษตรกร จึงนำนักวิจัยและผู้มีประสบการณ์เกี่ยวกับกัญชาในต่างประเทศมาให้ความรู้และข้อมูล ที่สำคัญมีการยืนยันข้อมูลว่าทั้งในอเมริกา แคนาดา อิสราเอลและออสเตรเลีย หากมีการใช้ถูกต้องทางการแพทย์ ทั้งสาร CBD และ THC มีประโยชน์ในการรักษาโรคตามแต่ละโรค ซึ่งทำให้การที่ สธ.จะเริ่มให้บริการกัญชารักษาโรคใน รพ.สบายใจขึ้น โดยในขั้นตอนแรก นโยบายเป็นการใช้กัญชาทางการแพทย์เท่านั้น และการเดินหน้าเรื่องนี้ยืนยันว่าไม่ได้เอื้อประโยชน์ใดๆให้เอกชน แต่เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับทางการแพทย์ อุตสาหกรรม เทคโนโลยีทางการแพทย์และ โอกาสในการสร้างรายได้ให้กับไทย ไม่ได้คิดที่จะเอื้อประโยชน์ให้คนใดหรือกลุ่มใด

...

ส่วนการส่งออกสารสกัดกัญชา “ซีบีดี” นายอนุทินยืนยันว่า ยังไม่สามารถส่งออกได้ แต่ก็ไม่ปิดกั้น หากเป็นการดำเนินการทางการแพทย์เพื่อมนุษยชาติต้องมีการยกเว้น แต่ไทยในระยะเริ่มต้นจะเน้นใช้ในประเทศให้ได้ก่อน ส่วนการส่งออกขอให้กระทรวงเกษตรฯไปพิจารณาว่ามีความต้องการจริงหรือไม่ หากพบว่ามีความต้องการเป็นพันๆ ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ยังติดขัดอนุสัญญาฯระหว่างประเทศ ต้องทำให้คู่สัญญามั่นใจให้ได้ว่าจะไม่มีการรั่วไหลไปใช้ในทางที่ผิด เพราะเรื่องนี้เป็นการนำสิ่งที่เป็นใต้ดินขึ้นมาบนดิน

พร้อมกันนี้ นายอนุทินยังปฏิเสธกรณีที่มีข่าวว่าจะให้ต่างชาติเข้ามาร่วมกับคนไทยในการปลูกกัญชา 150 ไร่นั้นยังไม่มี เพราะขณะนี้หน่วยงานรัฐ เช่น องค์การเภสัชกรรม (อภ.) กรมการแพทย์ และกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กำลังปลูกอยู่แล้ว ส่วนที่มีข้อกังวลว่าจะมีการใช้ช่องโหว่ของกฎหมายที่ให้ต่างชาติร่วมกับคนไทย 2 ใน 3 ปลูกกัญชาได้ มาเอื้อประโยชน์ต่างชาตินั้น ยืนยันว่าอะไรที่กฎหมายห้ามก็ทำไม่ได้ รวมถึงยืนยันเรื่องกัญชาเสรีจะเป็นไปตามขั้นตอน คือ เริ่มจากการใช้ทางการแพทย์ ขยายสู่การให้ รพ.ปลูก ซึ่งต้องมีการขออนุญาตและขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อนทำความเข้าใจและเข้าถึงให้กับกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ทำการปลูก ซึ่งทุกคนได้รับการขึ้นทะเบียนว่าอยู่ที่ไหน และให้ดูแลต่อไปถึงประชาชนในพื้นที่ที่ อสม.แต่ละคนรับผิดชอบ เป็นการขยายออกสู่ครัวเรือน เพราะหากมีการรั่วไหลก็จะรู้ว่ามาจากเครือข่าย อสม.คนไหน ส่วนต่างชาติจะมาร่วมนั้นเป็นเรื่องมาทีหลัง นอกจากนี้ได้รับรายงานจาก นพ. สุขุม กาญจนพิมาย ปลัด สธ.ว่า ใน 2-3 วันนี้เรื่องการขึ้นทะเบียนหมอพื้นบ้านกว่า 3,000 คนนั้นจะได้รับการรับรอง รวมถึงนายเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญด้วย

นอกจากนี้ นายอนุทินยังกล่าวในเวลาต่อมาด้วยว่า ตอนหาเสียงพรรคภูมิใจไทยไม่เคยพูดถึงสันทนาการ คงไม่มีพรรคไหนไปบอกว่าขอทำกัญชาเสรี ให้สูบกันสนุกสนานเต็มที่ ไม่ใช่ เราเห็นคุณค่ากัญชา กัญชงใช้รักษาโรคผลิตยาทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์จึงผลักดัน ถ้าทำได้ดีจะมีประโยชน์สร้างเศรษฐกิจ

วันเดียวกัน นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผอ.มูลนิธิชีววิถี (BioThai) กล่าวถึงกรณีนายประภัตรนำกลุ่มนักธุรกิจชาวสหรัฐอเมริกา ที่มีเทคโนโลยี มีสายพันธุ์กัญชาที่ดี เข้าพบนายอนุทิน ว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องมีการจับตาให้ดี ว่าจะมีการหารือเพื่อใช้ไทยเป็นฐานปลูกกัญชาหรือไม่ ซึ่งตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562 เขียนไว้อย่างรัดกุมเพื่อไม่ให้ต่างชาติเข้ามาได้ และชี้ให้เห็นว่าไทยเริ่มเปิดเสรีกัญชาทางการแพทย์เป็นการเปิดตลาดอย่างมหาศาล ความต้องการใช้กัญชาทางการแพทย์สูงมาก แค่ทำป้อนตลาดในเมืองไทยก็มหาศาลแล้ว และอาจจะมีศักยภาพในการส่งออกด้วย พร้อมกันนี้ ก็เตือนให้จับตาดูเรื่องนี้ให้ดี เพราะน่ากลัวมากทางเครือข่ายภาคประชาชนไม่เห็นด้วยกับการให้นักธุรกิจต่างชาติเข้ามาอยู่แล้ว เพราะตามกฎหมายยังไม่เปิดช่องให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามา หากต่างชาติเข้ามาจะนำไปสู่การผูกขาดทั้งการปลูก การผลิตและตลาดยา โดยกลุ่มทุนต่างชาติ ในที่สุดจะส่งผลกระทบกับราคาผลิตภัณฑ์ยาจากกัญชาในไทยสูงขึ้นแน่นอน ผลประโยชน์มหาศาลที่รัฐและคนไทยจะเสียไปมหาศาล คนไทยต้องซื้อยากัญชาในราคาแพง ทั้งๆที่เราเองก็ทำได้ นอกจากนี้ยังต้องมีการติดตามเรื่องการขอจดสิทธิบัตรกัญชาของต่างชาติด้วย เนื่องจากขณะนี้ ม.44 หมดอำนาจไปแล้ว