เป็นอีกเหตุการณ์สะเทือนขวัญสังคมไทย ที่สถาบันกวดวิชาใน จ.นครสวรรค์ ซึ่งเป็นโรงเรียนติวเข้มวิชาสอบเข้าเตรียมทหาร “แบบกินนอน” ลงโทษทำร้าย “น้องชายแดนเสียชีวิต” กลายเป็นความวิตกกังวลของผู้ปกครอง ที่มีการส่งบุตรหลานเข้าเรียนในลักษณะนี้อีกหลายแห่ง...

ที่เปิดสอนอยู่ตามภูมิภาคต่างๆให้กับเด็กนักเรียนที่มีความฝันมุ่งมั่นก้าว “สู่ดวงดาว” มีทั้งได้มาตรฐาน และไม่ได้มาตรฐาน “ซ้ำร้าย” บางแห่งไม่ได้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย หรือที่เรียกว่า...

“สถาบันกวดวิชาเถื่อน”...

ผู้อำนวยการโรงเรียนกวดวิชาสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร ย่านสายไหม กทม. รายหนึ่ง ให้ข้อมูลว่า สถาบันกวดวิชาประเภทนี้มีอยู่มากมายเฉลี่ย 3-5 แห่งต่อจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล เพราะเปิดกันได้ง่ายขึ้น ขอเพียงผู้สอนมีความรู้ในระดับปริญญาตรี สามารถสอนในระดับ ม.3-ม.5 ได้เท่านั้น

ถ้าสถาบันใดมีนายทหาร นายตำรวจ เป็นเจ้าของ และมีคอนเนกชันดึงตัวนักเรียนเตรียมทหารเข้ามาเป็นครูผู้ช่วยสอน ในบางครั้ง...บางคราวได้ มักกระตุ้นความสนใจ น่าเชื่อถือ และแรงบันดาลใจ

ยิ่งมีนักเรียนสอบผ่านเข้าสู่โรงเรียนเตรียมทหารมากเท่าไหร่ ย่อมมีผลเป็นที่นิยมชมชอบของผู้ปกครอง และเด็กนักเรียนมากเท่านั้นเช่นกัน

ที่ผ่านมา...บางโรงเรียนกวดวิชาเตรียมทหาร ที่มีขนาดเล็กมักลักลอบเปิดแบบไม่มีการขอจดทะเบียนกับ สนง.คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) กระทรวงศึกษาธิการ ถูกต้องตามกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. โรงเรียนเอกชน พ.ศ.2550 หรือเป็นสถาบันกวดวิชาเถื่อนถึงร้อยละ 50

ในบางแห่งก็ใช้ “บารมี ชื่อเสียง” ของความเป็น “นายทหาร หรือนายตำรวจ” ทำให้ สนง.ศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) รับมอบอำนาจจาก สช. “เกิดความเกรงใจ หรือไม่กล้า” เข้าไปตรวจสอบ และยอมปิดตาข้างเดียว ทำเป็นมองไม่เห็น...ยกเว้นเกิดเหตุการณ์ หรือผู้ปกครองร้องเรียน จึงจะเข้าไปตรวจสอบเข้มงวด...

...

สิ่งสำคัญ...มักใช้ช่องโหว่ของกฎหมาย แอบเปิดการเรียนแบบไม่เป็นทางการ อ้างมีจำนวนนักเรียนน้อยไม่เกิน 7 คนต่อวัน และอาศัยเปิดการเรียนการสอนกันตามบ้านพักต่างๆที่ไม่ต้องมีการขอจดทะเบียน และ สช.ไม่มีอำนาจในการควบคุมดูแล เพราะกฎหมายไม่ได้ระบุไว้

หนำซ้ำ...มักไม่ปิดป้ายหน้าบ้านว่า “เป็นโรงเรียน” เพราะต้องเสียภาษีป้าย มีหน่วยงานด้านการศึกษามากดดันให้ขอใบอนุญาต ที่ต้องมีห้องเรียน อุปกรณ์ ตามกำหนด รวมถึงต้องลงทุนเพิ่มค่าใช้จ่ายที่สูงมาก และสรรพากรก็จะตามเก็บภาษีเงินได้อื่นอีกมากมายด้วย...ยกเว้นโรงเรียนกวดวิชาขนาดใหญ่ มีชื่อเสียงระดับประเทศ มีการยื่นขออนุญาตถูกต้องตามหลักเกณฑ์ต่างๆ อาทิ จำนวนนักเรียนต่อครู 1 คน และห้องต่อคนเรียน จำนวนห้องน้ำที่พอเพียง แยกชาย-หญิงออกจากกัน บันไดหนีไฟ อุปกรณ์ดับเพลิง หรือการอำนวยความสะดวกต่างๆ

“แต่มักใช้วิธีมีการยื่นขออนุญาต การจัดตั้งโรงเรียนเอกชน ประเภทกวดวิชาทั่วไป มีการยื่นหลักฐานต่างๆ ตามที่ สช.กำหนดไว้ครบถ้วน แต่ไม่มีการระบุถึงลักษณะเปิดเป็นโรงเรียนกวดวิชาประเภทประจำแบบกินนอน เพราะมีระเบียบข้อกฎหมายอีกแบบ” ผอ.สถาบันกวดวิชา คนเดิมว่า

ในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนทุกปี โรงเรียนเตรียมทหารเปิดรับสมัครนักเรียนชายอายุ 14-17 ปี สอบคัดเลือก และบุคคลที่ตั้งใจสอบต้องเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ ทั้งอ่านหนังสือ ฝึกทำข้อสอบ ทบทวนเนื้อหาที่ใช้สอบทั้งหมด

ผู้ปกครองบางคนมักพึ่งพาโรงเรียนกวดวิชาที่มีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภท คือ 1.เรียนแบบระยะสั้น 3-4 เดือน สนนราคา 30,000-50,000 บาท 2.เรียนแบบรายชั่วโมง ราคาชั่วโมงละ 1,000-2,000 บาท

3.เรียนแบบกินนอนเป็นปี ราคาปีละ 120,000-200,000 บาท ราคานี้มากน้อยขึ้นอยู่กับความมีชื่อเสียงของสถาบัน มีอาหารให้ครบ 3-4 มื้อ และนักเรียนต้องใช้ชีวิตเหมือนโรงเรียนประจำ

ทว่า...หลักสูตรเรียนแบบกินนอนเป็นปี จะมีความเข้มข้นมากที่สุด ยึดตามการเรียนการสอนระดับตั้งแต่ ม.3-ม.5 มีวิชาเน้นวิทยาศาสตร์ อาทิ เคมี ชีวะ ฟิสิกส์...คณิตศาสตร์ ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ รวมถึงการฝึกบริบทเตรียมตัวเข้าไปเป็นทหาร ในเรื่องการทดสอบร่างกายให้แข็งแรง...

ในวันจันทร์-ศุกร์ แต่ละคนต้องไปเรียนตามโรงเรียนสายสามัญปกติ หลังเลิกเรียนแล้ว ต้องเข้าคอร์สเรียนติวเข้มตั้งแต่เวลา 18.00-22.00 น. ในวันเสาร์-อาทิตย์ เรียนตั้งแต่ 09.00-22.00 น. และมีนักเรียนบางคน “ดร็อปเรียน” เพื่อมาติวเข้มข้อสอบกับโรงเรียนกวดวิชาเตรียมทหารเป็นการเฉพาะด้วย

เทคนิค คือ มีการเรียนตั้งแต่พื้นฐานที่ใช้ในการทำข้อสอบ ตะลุยโจทย์ข้อสอบเก่า เทคนิคคิดลัด การเก็งข้อสอบที่แม่นยำ และจำลองการสอบเหมือนจริง เพื่อสร้างความคุ้นเคย และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำข้อสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร

สิ่งสำคัญไม่อนุญาตให้นักเรียนที่มาเรียนกวดวิชาสอบเข้าเตรียมทหาร นำมือถือสมาร์ทโฟนเข้ามาในสถาบันเด็ดขาด หากพบอาจจะต้องถูกยึดไว้เป็นการชั่วคราว เพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กเสียสมาธิ ไม่ตั้งใจเรียน...

อีกทั้งไม่อนุญาตให้ผู้ปกครองเข้ามาเยี่ยมบ่อย แต่จะปล่อยให้กลับบ้าน 6 เดือนครั้ง...

ผอ.สถาบันกวดวิชาคนเดิม ให้ข้อมูลอีกว่า โรงเรียนกวดวิชาแบบนี้ ต้องมีการสอนฝึกฝนด้านสมรรถภาพทางร่างกาย ที่ใช้ในการสอบเข้าเตรียมทหาร มีรุ่นพี่ที่เรียนในโรงเรียนเตรียมทหารคอยมาให้คำแนะนำตลอด เพราะมีอิทธิพลให้นักเรียนมีแรงกระตุ้นทางใจ ให้เกิดความมุ่งมั่น โดยใช้วิธีจ้าง หรือรุ่นพี่คนใดไม่กลับบ้าน ก็จะให้มาพักผ่อนอาศัยฟรีในช่วงการปล่อยวันหยุดของโรงเรียนเตรียมทหาร...

บางแห่งพลั้งเผลอกระทำต่อนักเรียนเกินกว่าเหตุ ถึงกับเลือดตกยางออก ก็มีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุ

...

แต่มองว่าปัจจัยหลักๆ คือ “ตัวเด็ก” อาจไม่มีจุดประสงค์เข้าเรียนเตรียมทหารตั้งแต่ต้น แต่ถูกผู้ปกครองบังคับ ทำให้ไม่พร้อมทั้งร่างกาย จิตใจ และเกิดต่อต้านไม่อยากเรียน บวกกับโรงเรียนกวดวิชา มีนักเรียนจำนวนมาก...ต่างพ่อต่างแม่ ย่อมเกิดปัญหามากมายตามมาอยู่แล้ว จนดูแลไม่ทั่วถึง

อีกทั้งโรงเรียนมีกฎระเบียบ และขีดเส้นการปฏิบัติไว้ เมื่อครูผู้สอน บอกให้ทำอะไรก็ไม่ทำ มักทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ สุดท้ายเกิดการลงโทษถึงขั้นรุนแรงเพิ่มขึ้น จากเดิมเคยทำโทษสั่งให้ออกกำลังกาย 100 ครั้ง ก็จะเพิ่มเป็น 500 ครั้ง จนกล้ามเนื้อเด็กรับไม่ได้ เกิดการบาดเจ็บขึ้น

ถึงตรงนี้...ต้องเข้าใจว่าโรงเรียนกวดวิชาเข้าเตรียมทหาร มีสองประเภท คือบุคคลผู้ประกอบการ เคยเป็นครู อาจารย์ มาจากโรงเรียนสายสามัญมักมีครูผู้สอนมาจากโรงเรียนสายสามัญเช่นกัน ที่มีความเข้าใจในพฤติกรรมของนักเรียนหลากหลายรูปแบบสามารถรับมือแบบอะลุ่มอล่วย หรือการใช้อารมณ์ ก็จะไม่รุนแรงมากนัก...

ต่างจากผู้ประกอบการที่เรียนจบมาจากโรงเรียนเตรียมทหารโดยตรง “มักใช้วิธีการเรียนการสอนแบบทหาร” มีรุ่นพี่ทหารเป็นครูสอนติววิชา ที่มีความโหดมากกว่าโรงเรียนทั่วไป เน้นความเป็นระเบียบ แข็งแรง มีความเด็ดขาด มีระบบการฝึกแบบทหาร หากนักเรียนทำไม่ได้ตามกำหนด จะถูกลงโทษตามระเบียบทันที

ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ตรง...เคยพบโรงเรียนกวดวิชาแห่งหนึ่ง นำนักเรียนฝึกว่ายน้ำ มีหลายคนทำไม่ได้ มีการลงโทษให้นอนกลางแดด บนพื้นปูนซีเมนต์ มีความร้อน จนผิวเด็กเกิดพุพอง หรือบางสถาบันให้อัตราในการลงโทษด้วยการออกกำลังกายสูงเกินกว่าร่างกายเด็กรับได้ จนเกิดการได้รับบาดเจ็บ...

ที่สำคัญ...สถาบันฯจะใช้หลักจิตวิทยา ยิ่งมีนักเรียนสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้มาก ทำให้ผู้ปกครองส่งบุตรหลานมาติวมากเท่านั้น ในความจริงเด็กสอบได้คือ...กลุ่มมุ่งมั่น ตั้งใจจริง ขยันอ่านหนังสือเดิมอยู่แล้ว

...

ผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นมาจากตัวเด็กที่มีผู้ปกครอง คนใกล้ชิด ให้การสนับสนุนมากกว่าได้รับจากสถาบันกวดวิชา...หากมีวินัย ขยัน มุ่งมั่น คงไม่จำเป็นต้องเข้าโรงเรียนกวดวิชาด้วยซ้ำ.