กรณีสะท้อนสังคมจากเหตุการณ์คุณหมอท่านหนึ่งขับรถชน รปภ. ขณะปิดประตูกระทรวงสาธารณสุขและลากไปไกลอีก 20 เมตร จนทำให้ รปภ.ท่านนี้บาดเจ็บสาหัส

เหตุเกิดในช่วงเวลา 2 ทุ่ม วันที่ 10 พ.ย.2560 ตามรายงานข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้ง 4 ข้อหาหนัก (1) เมาแล้วขับ (2) ขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส (3) ขัดคำสั่งเจ้าพนักงานไม่ยินยอมให้เป่าแอลกอฮอล์ และ (4) พยายามฆ่า

นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน บอกว่า ประเด็นสำคัญที่สังคมตั้งข้อสงสัย คือการ “ปฏิเสธตรวจวัดแอลกอฮอล์” ทำให้ไม่ทราบผลตรวจว่ามีระดับแอลกอฮอล์เท่าไร? โดยกระแสส่วนใหญ่ก็คาดว่าน่าจะดื่มจึงไม่ยอมตรวจวัดแอลกอฮอล์

แม้ว่าทางเจ้าหน้าที่จะยืนยันหนักแน่นว่าพนักงานสอบสวนแจ้งให้ตรวจวัดและมีพยานแวดล้อมต่างๆที่สามารถเอาผิดได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงชั้นศาลก็มีโอกาสที่จะถูก “ยกฟ้อง” ได้

กรณีล่าสุดที่ศาลยกฟ้อง...เหตุการณ์เบนซ์ชนฟอร์ด เป็นเหตุให้มีนักศึกษา ป.โท เสียชีวิต 2 ราย ครั้งนั้นเมื่อนำผู้กระทำความผิดไปโรงพยาบาลและแจ้งให้ตรวจวัดแอลกอฮอล์ก็ได้รับการปฏิเสธ โดยพนักงานสอบสวนและพยานในโรงพยาบาลก็ไม่สามารถยืนยันการแจ้งขอเจาะได้ชัดเจน

ที่สำคัญในคำพิพากษาศาลระบุว่า “โรงพยาบาล...มีหนังสือแจ้งให้จำเลยเจาะเลือดตรวจได้แต่ไม่ทำ พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า พนักงานสอบสวนได้มีคำสั่งให้ทดสอบโดยการเจาะเลือดจำเลย เพื่อตรวจหาปริมาณแอลกอฮอล์และสารเสพติดแล้วจำเลยขัดขืนไม่ยอมให้ทดสอบโดยไม่มีเหตุอันควร กรณีนี้จึงไม่อาจรับฟังตามข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าจำเลยขับรถขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น และขับรถในขณะหย่อนความสามารถในอันที่จะขับได้ จำเลยจึงไม่มีความผิดในข้อหาดังกล่าวนี้...”

...

นพ.ธนะพงศ์ ย้ำว่า ถึงตรงนี้คำถามสำคัญมีว่า...อะไร? คือ “ช่องโหว่” หรือปัญหาที่จะพบกรณี “ปฏิเสธตรวจวัดแอลกอฮอล์” ปกติแล้วการปฏิเสธตรวจวัดแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่จะเกิดขึ้นใน 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ หนึ่ง...กรณีตรวจวัดแอลกอฮอล์ผู้ขับขี่บนถนน เช่น ด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์หรือด่านตรวจเมาขับ

ปัจจุบันปัญหานี้ลดน้อยลงเพราะมีการแก้กฎหมายพระราชบัญญัติ จราจรทางบก (ฉบับที่ 10) พ.ศ.2557 ประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ.2557 โดยมีสาระสำคัญคือ

“...ในกรณีที่มีพฤติการณ์อันควรเชื่อว่าผู้ขับขี่ขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น หากผู้นั้นยังไม่ยอมให้ทดสอบตามวรรคสามโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นฝ่าฝืนมาตรา 43 (2)”

อย่างไรก็ตาม น่าสนใจว่า...ยังพบปัญหาอื่นๆที่เป็นอุปสรรคในการตรวจวัด แต่แนวโน้มก็ค่อยๆลดลงเพราะมีการเตรียมการของทางตำรวจ อาทิ ไม่ยอมเป่าทันที ถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ หรือเอะอะโวยวาย โต้เถียงว่าเครื่องเป่าไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีผลสอบเทียบ (calibrate)...หลอดเป่าไม่สะอาด

และ...บางรายมีการโทร.หาผู้ใหญ่ให้ช่วยเหลือ ฯลฯ

ลักษณะที่สอง...กรณีตรวจวัดแอลกอฮอล์ผู้ขับขี่เมื่อมีอุบัติเหตุ

นพ.ธนะพงศ์ บอกว่า โดยเฉพาะในกรณีคนขับบาดเจ็บไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล เมื่อพนักงานสอบสวนมีข้อสงสัยจะขอตรวจวัดแอลกอฮอล์ จะต้องอาศัยอำนาจตามมาตรา 131/1 พ.ร.บ.วิธีพิจารณาความอาญา 2477

ซึ่งระบุว่า กรณีความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปี ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจให้แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญดำเนินการตรวจดังกล่าวได้...หากผู้ต้องหาไม่ยินยอมโดยไม่มีเหตุผลอันควร ให้สันนิษฐานไว้เบื้องต้นว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามผลตรวจพิสูจน์ ที่หากผลการตรวจพิสูจน์แล้วจะเป็นผลเสียต่อผู้ต้องหา...”

ในทางปฏิบัติจะพบว่า กรณีตรวจวัดแอลกอฮอล์ที่โรงพยาบาลยังเป็น “ช่องโหว่” ที่สำคัญ เพราะขาดแนวปฏิบัติรองรับที่ชัดเจน อันได้แก่ พนักงานสอบสวน ไม่สามารถมาที่โรงพยาบาลได้ทันที ในบางครั้งต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง ในขณะที่ทุกๆ 1 ชั่วโมง ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดจะลดลงเฉลี่ย 15-20 mg%

ถัดมา...การร้องขอของพนักงานสอบสวนกระทำโดยวาจา เช่นเดียวกับผู้ต้องหาปฏิเสธโดยวาจา ซึ่งจะยากต่อการพิสูจน์ว่าได้มีการแจ้งหรือการปฏิเสธหรือไม่ อีกทั้งผู้ต้องหามีข้ออ้าง เช่น กลัวเจาะเลือด (กลัวเข็ม)

อย่างกรณี...รถเบนซ์ชนฟอร์ด ก็อ้างขอไปรักษาในโรงพยาบาลที่กำหนดเท่านั้น

นับรวมไปถึงอุปสรรคอื่นๆ เช่น การมีค่าใช้จ่ายในการตรวจเลือด พนักงานสอบสวนต้องมีภาระในการสำรองจ่ายไปก่อน...ผลเลือดต้องรอหลายวัน...รวมทั้งกรณีเสียชีวิต การเจาะเลือดจำเป็นต้องอาศัยเทคนิคพิเศษ โรงพยาบาลขนาดเล็กไม่สามารถดำเนินการได้ ต้องยุ่งยากในการส่งศพไปชันสูตร

ข้อพิจารณาเสนอแนะ เพื่ออุด “ช่องโหว่” ในการตรวจวัดแอลกอฮอล์ คงจะเป็นหัวใจสำคัญที่ต้องกล่าวถึง เพื่อให้เกิดระบบจัดการตรวจวัดแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะกรณีอุบัติเหตุแล้วผู้ขับขี่ไปรักษาที่โรงพยาบาล จำเป็นต้องมีการกำหนดมาตรการและเครื่องมือสำหรับผู้ปฏิบัติให้ชัดเจน เริ่มจาก...สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงสาธารณสุข เร่งจัดทำข้อกำหนด...ระเบียบปฏิบัติในการตรวจวัดแอลกอฮอล์ผู้ขับขี่ที่มารักษาที่โรงพยาบาล

กำหนดให้มี “แบบฟอร์ม” ให้ผู้ขับขี่ที่ปฏิเสธตรวจวัดเซ็นชื่อไว้เป็นหลักฐาน, กรณีไม่ยอมเซ็นชื่อก็ให้พนักงานสอบสวนและพยานเซ็นกำกับว่าได้แจ้งขอตรวจวัดแล้ว ทั้งนี้ ควรพิจารณาบันทึกด้วยกล้องเพื่อมีคลิปว่าได้แจ้งและผู้ต้องหาปฏิเสธไม่ยอมเซ็นไว้ด้วย...เพื่อสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้สังคม

...

“จัดทำเป็นขั้นตอนปฏิบัติ เพื่อให้ชัดเจนในการสื่อสาร...นำไปปฏิบัติในทุกระดับ มีช่องทางรับเรื่องร้องเรียนสำหรับคู่กรณีที่พบว่าเจ้าพนักงานหรือบุคลากรสถานพยาบาลไม่ดำเนินการตามขั้นตอนปฏิบัติ”

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ...จัดทำประมาณการค่าใช้จ่ายตรวจวัดแอลกอฮอล์ในเลือด เพื่อขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลผ่านช่องทางต่างๆ เช่น นำเรื่องเข้าศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้...ค่าใช้จ่ายเพื่อตรวจวัดแอลกอฮอล์ อาจจะใช้แนวทางให้สามารถเรียกเก็บจากผู้ที่มีผลแอลกอฮอล์เกิน 50 mg% ซึ่งมีความผิดตามกฎหมาย หรือรูปแบบอื่นๆ เช่น งบสนับสนุนจากกองทุนต่างๆ หรือประกันภัย

เพราะ...ล่าสุดกรณีที่ผู้ขับขี่ที่แอลกอฮอล์เกิน 50 mg% ถ้ามีประกันภาคสมัครใจก็ไม่ได้รับความคุ้มครองจ่ายชดเชยค่าเสียหาย-ค่าซ่อมรถ ฯลฯ

พร้อมกันนั้นยังต้องเร่งสนับสนุนให้มีเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์สำหรับเจ้าพนักงานสอบสวน เพราะเมื่อไปถึงจุดเกิดเหตุจะพบว่า “ผู้ขับขี่” บางส่วนไม่ต้องไปโรงพยาบาล แต่ก็ไม่สามารถตรวจวัดได้

เนื่องจากจะใช้สำหรับเจ้าพนักงานจราจรออกไปตั้งด่านตรวจเมาขับหรือประจำอยู่ที่สถานีตำรวจฯ...ส่งผลให้มีการตรวจล่าช้า ค่าแอลกอฮอล์ในเลือดก็ลดต่ำกว่าความเป็นจริง

ถึงตรงนี้แล้ว นพ.ธนะพงศ์ บอกอีกว่า เมื่อสามารถตรวจวัดแอลกอฮอล์ได้เข้มงวดและครอบคลุมทั้งจุดเกิดเหตุและที่โรงพยาบาล จะมีผู้ขับขี่บางส่วนที่จะตัดสินใจชนแล้วหนีออกไปจากที่เกิดเหตุ เพื่อไม่ให้ถูกตรวจวัดแอลกอฮอล์ กรณีนี้...ทางพนักงานสอบสวนและอัยการ ควรพิจารณาตั้งข้อหาหนัก เพราะมิเช่นนั้น ผู้กระทำผิดก็จะเรียนรู้และเลือกที่จะชนแล้วหนี (Hit & Run) เหมือนหลายๆประเทศที่โทษ “เมาขับ” จะรุนแรง

ในแต่ละปีสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ รับแจ้งอุบัติเหตุบนถนนถึง 3 แสนกว่าเหตุการณ์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็มีคดีอุบัติเหตุจราจรเกือบแสนคดี แต่เรามีการตรวจวัดแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่ทั้งสองฝ่ายได้ไม่ถึง 20% ของคดีที่มีคนตายหรือบาดเจ็บสาหัส...

...

เหตุการณ์ “คุณหมอชน รปภ.” ได้กระตุ้นคนในสังคมให้ถามหาความเป็นธรรมในการตรวจวัดแอลกอฮอล์ที่จะต้องเกิดกับทุกฝ่ายไม่เลือกปฏิบัติ...ถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะปิด “ช่องโหว่” สำคัญนี้.