ตลอดเวลากว่า 60 ปีที่ผ่านมา บริษัทญี่ปุ่นเป็นผู้บุกเบิกลงทุนสร้างและพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน แบรนด์รถยนต์ญี่ปุ่นจึงครองยอดขายรถยนต์ราว 90% เป็นสินค้าที่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจเชื่อถือได้ทั้งเรื่องคุณภาพของสินค้าและการบริการ
แต่เมื่อสถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไปทั้งความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลต่อการดำรงชีวิตและการเลือกใช้สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เปิดทางให้ “รถยนต์ไฟฟ้า” สัญชาติจีนมาแรงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เป็นความท้าทายที่เจ้าตลาดต้องรีบขยับปิดทางไม่ให้ถูกแซง
ซึ่งในประเด็นนี้ทีมข่าว นสพ.ไทยรัฐ มีโอกาสได้พูดคุยกับ นายคาซุชิเงะ ทานากะ อธิบดีด้านนโยบายการค้า สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น นอกรอบการประชุม Japan Thailand Public-Private Automotive Business Forum for Energy and Industry Dialogue เมื่อหลายวันก่อน เกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลญี่ปุ่นต่อความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมยานยนต์กับไทย นายคาซุชิเงะเปิดฉากการสนทนาว่าญี่ปุ่นและไทยเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งมานานกว่า 60 ปี สร้างห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่ง และสร้างงานมากมายผ่านการแบ่งปันเทคโน โลยีและองค์ความรู้ จะต่อยอดความสำเร็จให้มากขึ้นใน 60 ปีข้างหน้า ด้วยโครงการความร่วมมือต่างๆต่อไป เพื่อรับมือกับความท้าทายหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้มั่นใจไทยจะรักษาและพัฒนาความแข็งแกร่งเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกยานยนต์เป็นประโยชน์ win-win ทั้ง 2 ฝ่าย
อย่างไรก็ตาม นายคาซุชิเงะ กล่าวเสริมว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ต้องปรับตัว เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ท่ามกลางการแข่งขันระดับโลกทวีความรุนแรง ทั้งด้าน Green Transfor mation (GX) สู่แนวทางลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงด้าน Digital Transformation (DX) ไปสู่ยานพาหนะที่ฟังก์ชันหลักถูกควบคุมโดยซอฟต์แวร์ หรือ SDV ขับเคลื่อนอนาคตของยานยนต์รุ่นต่อไป ขณะที่ย้ำว่ารัฐบาลญี่ปุ่นมีโครงการริเริ่มรองรับการปรับตัวทั้ง 2 ด้านนี้ พร้อมแบ่งปันข้อมูลการเปลี่ยนผ่านมาสู่รถยนต์ไฟฟ้ากับรัฐบาลไทย
...
อีกประเด็นที่นายคาซุชิเงะหยิบยกให้ความสำคัญก็คือ “ซัพพลายเออร์ในประเทศ” ต้องมีความสามารถแข่งขันได้และ “Made in Thailand” จะต้องควบคู่กับ “Made by Thailand” ไม่สามารถแยกขาดจากกันได้.
อมรดา พงศ์อุทัย
คลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม