ยุคที่โจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นยุคที่ทั้งโลกพูดถึงปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ โดยแท้ที่จริงสหรัฐฯเป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยี แต่ 4 ปีในยุคของไบเดน ดูเหมือนเทคโนโลยีเอไอของสหรัฐฯจะไปไม่ทันจีนและประเทศอื่นๆ

ไบเดนและทีมงานพูดถึงจริยธรรมเอไอมากจนเกินไป ไบเดนกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์ทั้งในด้านความปลอดภัย ความเท่าเทียม ความเป็นส่วนตัว นึกถึงแต่เรื่องความโปร่งใส เพื่อให้เอไอสามารถอธิบายการตัดสินใจของตน เพื่อลดปัญหาการมีอคติและการเลือกปฏิบัติ

ไบเดนกดดันบริษัทเทคโนโลยีที่กำลังทำการวิจัยพัฒนาเอไอว่าจะต้องเปิดเผยวิธีการฝึกเอไอและการใช้เอไอต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้หลายบริษัทไม่อยากจะลงทุนเพราะไม่อยากเตะหมูเข้าปากหมา อุตส่าห์ลงเงินลงคน แต่สุดท้ายองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีเอไอไปอยู่กับรัฐบาล และเสี่ยงหลุดไปอยู่กับบริษัทคู่แข่ง

ยุคไบเดนจึงเป็นเรื่องของจริยธรรมเอไอเด่นกว่าเรื่องอื่น ไบเดนไม่ต้องการให้นำเอไอมาใช้ในการจ้างงาน การเงิน หรือการพิจารณาคดีทางกฎหมาย เพราะกลัวในเรื่องของการส่งเสริมการไม่เท่าเทียมกันของสังคมหรือการเลือกปฏิบัติ คณะของไบเดนยังกลัวในเรื่องการใช้เอไอในการควบคุมอาวุธหรือการโจมตีทางไซเบอร์ที่สุดของที่สุดคือ ไบเดนและคณะทำงานกลัวเรื่องการควบคุมการเก็บการใช้งานข้อมูลของผู้บริโภคโดนเอไอ รวมถึงกลัวการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล

รัฐบาลไบเดนริเริ่มร่างพระราชบัญญัติควบคุมเอไอที่เรียกว่า AI Bill of Rights ค.ศ.2022 สร้างกฎหมาย DPA เพื่อป้องกันความปลอดภัยของข้อมูลรัฐบาลที่จะรั่วไหลสู่สาธารณะผ่านเอไอ ตั้งหน่วยวิจัยและกำกับดูแลเอไอในหลายกระทรวง ที่สำคัญอย่างยิ่งคือในกระทรวงพาณิชย์เพื่อสร้างข้อกำหนดในการพัฒนาเอไอให้สอดคล้องกับจริยธรรม

เวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไปจนถึง 20 มกราคม 2025 เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี นโยบายด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของทรัมป์ตรงกันข้ามกับไบเดน ทรัมป์บอกว่าจะพังข้อจำกัดที่ไบเดนเคยสร้างไว้ทุกข้อ และจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้สหรัฐฯกลายเป็นมหาอำนาจเอไอ

...

20 มกราคม 2025 ทันทีที่รับตำแหน่ง ทรัมป์ลงนามเพิกถอนคำสั่งการบริหารงานของไบเดน เป็นคำสั่งที่ไบเดนลงนามไว้เมื่อ ค.ศ.2024 ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการพัฒนาเอไอ พอวันรุ่งขึ้น ทรัมป์เชิญ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีมาประชุมที่ทำเนียบขาว เพื่อจัดตั้งบริษัทสตาร์เกต ที่จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านเอไอในมูลค่า 5 แสนล้านดอลลาร์หรือ 17 ล้านล้านบาท

3 ผู้นำจาก 3 บริษัทที่ทรัมป์เชิญมาร่วมลงทุนในโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐานเอไอที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯคือ มาซาโยชิ ซัน (ซอฟต์แบงก์กรุ๊ป คอร์ป) แซม อัลท์แมน (โอเพ่นเอไอ) และแลร์รี เอลลิสัน (ออราเคิล คอร์ป) ทั้ง 3 บริษัทจะลงทุนก่อน 1 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 3.7 ล้านล้านบาท จะขยายให้ถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จะสร้างงานด้านเอไอในสหรัฐฯสูงถึง 1 แสนตำแหน่ง

ผู้นำเทคโนโลยีหลายคนเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงทรัมป์ ข้อใหญ่ใจความคือต้องการให้สหรัฐฯชนะจีนในสงครามเอไอ โดยยอมรับว่า จีนก้าวหน้าด้านเอไอมากกว่าสหรัฐฯ ทุกคนเชื่อว่าทรัมป์และทีมงานจะสามารถต่อสู้รับมือคู่แข่งอย่างจีนได้

อเมริกันหัวเก่าหลายคนก็ส่งสัญญาณเตือนไปยังทรัมป์เหมือนกันว่าการที่ทรัมป์มีนโยบายเสรีด้านเอไอจะทำให้บริษัทต่างๆสร้างผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัยต่อรัฐและต่อมนุษยชาติที่ออกมาตะโกนก้องร้องดังกว่าพวกก็คือ ศ.แฟรงค์ ปาสเกล อาจารย์กฎหมายจาก ม.คอร์แนล

โลกเปลี่ยนไปไวมากครับ กลุ่มคนที่จะอยู่รอดปลอดภัยจะเป็นพวกที่อยู่ใต้รัฐบาลที่มุ่งมั่นแข่งขันเพื่อให้ประเทศเดินหน้า ไม่ตกโลก ไม่เสียประโยชน์ แม้แต่อดีตเจ้าโลกหลายประเทศที่รัฐบาลไม่สนใจไยดีด้านเทคโนโลยี ปัจจุบันก็เป็นประเทศที่ไปไม่ถึงไหน ไม่มีสินค้านวัตกรรมใหม่ออกมาสู่สายตาประชาโลก คนไม่ซื้อสินค้าก็ไม่มีเงินเข้าประเทศ ดักดานกันทั้งแผ่นดิน.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com

คลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม