ใกล้วันสาบานตนรับตำแหน่งเข้ามาทุกที แม้จะเป็นการนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯเป็นสมัยที่สอง แต่ทั่วโลกก็จับตามองนโยบายของ “โดนัลด์ ทรัมป์” อย่างใกล้ชิดชนิดไม่กะพริบตา
การคืนบัลลังก์ในยุคสองของทรัมป์ ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์มากมาย คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะปั่นป่วนอีกครั้งแน่ๆ แต่คงไม่หิวสงครามเหมือนสมัย “โจ ไบเดน” ที่สนับสนุนสงครามในยูเครน และสงครามอิสราเอล-ฮามาส จนทำให้ราคาพลังงานพุ่งสูงทั่วโลก และเงินเฟ้อทะยานสุดในรอบ 40 ปี
ในรายงาน “World Economic Outlook” (WEO) ล่าสุด ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า การกลับมาสมัยที่สองของ “โดนัลด์ ทรัมป์” จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกหลากหลายมิติ เริ่มจาก “นโยบายขึ้นภาษีนำเข้า” สหรัฐฯ, ยุโรป และจีน จะเพิ่มภาษีนำเข้าระหว่างกัน 10 pp. (percentage point) และสหรัฐฯจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่น 10 pp. โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบกินส่วนแบ่ง 25% ของมูลค่าการค้าโลก และคิดเป็น 6% ของมูลค่าเศรษฐกิจโลก คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะรับกรรมตั้งแต่กลางปี 2025 ฉุดอัตราการขยายตัวทั้งโลกรวมกันลดลง 0.3 pp. ในช่วงปี 2025-2030
...
“ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก” นโยบายขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการตอบโต้ของประเทศต่างๆ จะทำให้เกิดความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า สร้างแรงกดดันต่อการลงทุน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม คาดว่าการลงทุนในสหรัฐฯ และยุโรปจะลดลงราว 4% ขณะที่จีนและประเทศอื่นๆ รวมถึงประเทศไทย จะได้รับผลกระทบราวครึ่งหนึ่งของสหรัฐฯ
“นโยบายลดภาษี” สหรัฐฯจะต่ออายุมาตรการลดหย่อนภาษีนิติบุคคล (TCJA) ไปอีก 10 ปี จนถึงปี 2034 ส่งผลให้ภาษีเงินได้จากธุรกิจสหรัฐฯลดลงรวม 4% ของ GDP กระนั้น นโยบายดังกล่าวเป็นผลบวกต่อภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทำให้ประเทศอื่นๆสูญเสียความสามารถในการแย่งชิงเม็ดเงินลงทุน ในช่วงปี 2025-2030 เมื่อเทียบกับพี่เบิ้มสหรัฐฯ
“นโยบายกีดกันผู้อพยพ” ทั้งสหรัฐฯและยุโรปมีแนวโน้มจะกีดกันผู้อพยพมากขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางปี 2025 ส่งผลให้กำลังแรงงานลดลง 1% และ 0.75% ภายในปี 2030 ตามลำดับ แถมยังส่งผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจโลกรวม 0.2 pp. ในช่วงปี 2025-2030
“ภาวะการเงินโลกตึงตัวขึ้น” เป็นผลมาจากความไม่แน่นอนที่มีต่อเศรษฐกิจและการค้าโลก คาดอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯจะปรับสูงขึ้นตามเงินเฟ้อ เช่นเดียวกับหนี้ภาครัฐของประเทศต่างๆก็ทะยานขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ผลที่ตามมาคือต้นทุนการกู้ยืมตราสารหนี้ภาครัฐและภาคเอกชนประเทศต่างๆจะสูงขึ้น
“เศรษฐกิจโลก” จะเริ่มรับรู้ถึงผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 ตั้งแต่กลางปี 2025 โดย IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตลดลง 0.8 pp. ในปี 2025 และลดลง 0.4 pp. ในปี 2026 ก่อนจะพลิกฟื้นกลับมาเติบโตเพิ่มขึ้น 0.2 pp. ในปี 2027 นโยบายใหม่ของทรัมป์ยังทำให้อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯพุ่งสูงขึ้น จนกดดันธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ให้ผ่อนคลายอัตราดอกเบี้ยได้น้อยลงกว่าแนวโน้มเดิมที่เคยประเมินไว้
สำหรับประเทศไทยโดนหางเลขแน่ๆจากนโยบายกีดกันการค้าและขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าเป็นวงกว้างของสหรัฐฯ โดยคาดว่า “ภาคการส่งออกไทยจะขยายตัวลดลง” โดยเฉพาะอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์, อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะที่สินค้าจีนจะหนีตายจากสหรัฐฯและทะลักเข้าไทยมากขึ้น กดดันให้ผู้ผลิตไทยเผชิญการแข่งขันรุนแรงขึ้น คาดว่ามูลค่าส่งออกของไทยในปี 2025 จะลดลงราว 0.8-1 pp. ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนไทยในปี 2025 ก็มีแนวโน้มลดลง 0.4-0.5 pp. ฉุดเศรษฐกิจไทยปีนี้ให้ขยายตัวลดลง 0.5 pp.เทียบกับแนวโน้มเดิมก่อนทรัมป์จะคัมแบ็ก...บอกเลยว่าปี 2025 เหนื่อยหนักสาหัสกันทั้งโลก ยกเว้น Bitcoin ที่เก็งว่าจะมีแต่พุ่งกับพุ่งในยุคทรัมป์!!
มิสแซฟไฟร์
คลิกอ่านคอลัมน์ “คนดังอะราวนด์เดอะเวิลด์” เพิ่มเติม