ก่อน ค.ศ.1976 ปีงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐฯเริ่มวันที่ 1 กรกฎาคม และสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายนของปีถัดไป กระทั่ง ค.ศ.1974 สมัยประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน มีการออกพระราชบัญญัติที่มีชื่อว่า Congressional Budget and Impoundment Control Act ให้ปีงบประมาณตั้งแต่ ค.ศ.1976 เป็นต้นไปเริ่มวันที่ 1 ตุลาคม และสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายน ของปีถัดไป

15 มกราคม 2025 มีข่าวที่แพร่ขยายกระจายไปทั้งโลกว่า ‘กระทรวงการคลังสหรัฐฯเผยตัวเลขขาดดุลในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ ค.ศ.2025 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ พบว่าขาดดุลพุ่งสูงร้อยละ 40 (เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดดุล 5.1 แสนล้านดอลลาร์) งบประมาณติดลบ 710,900 ล้านดอลลาร์ ดันหนี้พุ่ง 36 ล้านล้านดอลลาร์’

มีพวกเข้าไปด่าสำนักที่โพสต์ข่าวย่อหน้าข้างบนอย่างเสียๆ หายๆ ว่าเพิ่งวันที่ 15 มกราคม จะเป็นไตรมาสแรกได้ยังไง พวกวิจารณ์อาจจะไม่ทราบนะครับว่า ไตรมาสแรกหรือ 3 เดือนของปีงบประมาณ 2025 ของสหรัฐฯคือ 1 ตุลาคม 2024 ถึง 31 ธันวาคม 2024

ข่าวนี้ทำให้ผมนึกถึงวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่หรือ The Great Depression ที่เริ่มเมื่อ ค.ศ.1929 และสิ้นสุดเมื่อ ค.ศ.1939 (10 ปีพอดี) ตอนนั้นตลาดหุ้นสหรัฐฯโตเร็วเกินความเป็นจริง เขียนให้เข้าใจง่ายก็คือ เศรษฐกิจพังเพราะฟองสบู่ตลาดหุ้น ตลาดหุ้นสหรัฐฯร่วงเมื่อพฤหัสบดี 24 ตุลาคม 1929 (ที่เรียกกันว่า Black Thursday) และพังเมื่ออังคาร 29 ตุลาคม 1929 (ที่เรียกว่า Black Tuesday)

ทันทีที่ตลาดหุ้นพัง สหรัฐฯกะจะหาสตางค์จากนโยบายกีดกันทางการค้า จึงตราพระราชบัญญัติ Smooth-Hawley Tariff Act ค.ศ.1930 ข้อใหญ่ใจความของพระราชบัญญัติฉบับนี้ก็คือ รัฐบาลสหรัฐฯเก็บภาษีนำเข้าสูง การรีดภาษีนำเข้าทำให้ไม่มีใครอยากทำมาค้าขายด้วย การค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯจึงพัง ตามด้วยธนาคารล้มละลายกลายเป็นธนาคารขยะเป็นจำนวนมาก

...

ตอนโน้นเศรษฐกิจสหรัฐฯโอนเอนโงนเงน ปรึกษาหารือกันแล้วก็อาจจะมีเพียงเรื่องเดียวที่จะเป็นทางออกก็คือ ต้องส่งสายเลอะสายลับออกไปยุแยงตะแคงรั่วให้เกิดสงครามใหญ่ในสถานที่ที่ไกลจากแผ่นดินสหรัฐฯ ให้ประเทศทั้งหลายพังพาบราบเรียบเงียบเหงือ เหลือสหรัฐฯที่ยังใช้ทรัพยากรโลกอยู่ได้เพียงเจ้าเดียว

ทันทีที่สงครามเริ่ม สหรัฐฯก็ตะโกนว่า ‘อ้า ข้าฯขอวางตัวเป็นกลาง พวกเอ็งรบกันไปเถอะนะ’

จากนั้นสหรัฐฯก็สร้างนโยบาย Lend-Lease Program ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ขายให้ฝ่ายสัมพันธมิตร อาวุธทำให้เงินไหลเข้าสหรัฐฯบานเบอะเยอะแยะ เศรษฐกิจสหรัฐฯแข็งขึ้นอย่างฉับพลันทันที และกลายเป็นผู้ผลิตสินค้ากับอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลก ขณะที่แผ่นดินของประเทศอื่นย่อยยับอับปาง แผ่นดินสหรัฐฯกลับโดนญี่ปุ่นถล่มเพียงแค่แห่งเดียว คือที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ของเกาะฮาวาย การโดนถล่มทำให้สหรัฐฯตัดสินใจเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 และตอนท้ายปลายสุด สหรัฐฯก็เป็นผู้ชนะ กลายเป็นมหาอำนาจอันดับ 1 มาจนกระทั่งทุกวันนี้

ตั้งแต่ Black Thursday เมื่อ ค.ศ.1929 จนถึงวันที่ผู้อ่านท่านผู้เจริญจับหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับนี้ในวันที่ 17 มกราคม 2025 เวลาผ่านมาแล้ว 95 ปี 3 เดือน 19 วัน เศรษฐกิจสหรัฐฯกลับไปแย่คล้ายเดิม

เหลืออีกเพียง 3 วัน ทรัมป์ก็จะขึ้นครองอำนาจเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ ก่อนขึ้นมา ทรัมป์ฟาดงวง ฟาดงา เหวี่ยงขา ชกลม ตะโกนสร้างความขัดแย้งไปทั้งโลก ไม่ว่าจะกรณีปานามา เกาะกรีนแลนด์ จีน และยุโรป เหมือนกับว่าจะกวนให้ความขัดแย้งแรงขึ้น เพื่อให้เกิดสงครามโลกครั้งใหม่

1 กันยายน 1939-1 กันยายน 2039 ครบ 100 ปีพอดีที่สงครามโลกครั้งที่ 2 อุบัติขึ้น พวกที่มองโลกในแง่ร้ายทั้งหลายก็วิเคราะห์กันบานเบอะเยอะจังว่า ถ้าจะแก้ไขสถานการณ์เศรษฐกิจตกต่ำของสหรัฐฯในห้วงช่วงตอนนี้ มีวิธีเดียวที่จะทำได้คือกวนให้เกิดสงคราม แต่ต้องเป็นสงครามใหญ่ที่เกิดขึ้นห่างไกลจากแผ่นดินสหรัฐฯ อาจจะเป็นที่ทะเลจีนใต้ ตะวันออกกลาง หรือยุโรปตะวันออก

ประเทศในบัญชีที่สหรัฐฯอยากจะปั่นให้กระโจนเข้าสู่สงครามก็ต้องระวังตัวแจ อะไรเงียบได้ก็เงียบ อะไรถอยได้ก็ต้องยอมถอย เสียอวัยวะดีกว่าเสียชีวิต อย่าโง่เหมือนเซเลนสกีที่ทำให้ประชาชนบาดเจ็บล้มตาย บ้านเมืองพังพินาศ.


นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com

คลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม