ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากวิกฤติโลกร้อน นำไปสู่สภาพภูมิอากาศแบบสุดขั้ว อากาศแปรปรวน ส่งผลกระทบต่อการเกษตรกรรม การผลิตอาหาร กระทั่งเกิดวิกฤตการณ์ขาดแคลนอาหาร

ที่ผ่านมาหลายหน่วยงานทั่วโลกทั้งภาครัฐและเอกชนไม่ได้นิ่งนอนใจ มีการวิจัยคิดค้นนวัตกรรมอาหารต่างๆมากมาย รวมทั้งแนวทางการเปลี่ยน “อาหารทางเลือก” ให้เป็นอีกแหล่งอาหารสำหรับมนุษย์ที่ไม่เพียงแต่ “ยั่งยืน” แต่ยังอร่อยและมีความเย้ายวนใจ “น่ารับประทาน” อีกด้วย

เช่นเดียวกับนักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งเดนมาร์ก ได้ศึกษาศักยภาพในการนำมาประกอบอาหารของ “ไมซีเลียม” หรือ “เส้นใยจากเห็ดรา” ด้วยคุณลักษณะพิเศษสามารถเจริญเติบโตได้บนพื้นผิวหรือสารตั้งต้นหลากหลายชนิด เช่น พื้นผิวอินทรีย์ อย่างบนดิน ซึ่งล้วนส่งผลต่อรสชาติและเนื้อสัมผัสที่แตกต่างไม่ซ้ำกัน

ที่สำคัญ ไมซีเลียมยังสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับการผลิตในระดับอุตสาหกรรม ที่สำคัญยังเติบโตได้ดีบนวัสดุเหลือใช้ อย่างกากกาแฟ ไปจนถึงเศษไม้ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในฐานะทางเลือกโปรตีนที่ยั่งยืน สามารถสร้างระบบอาหารแบบหมุนเวียนได้มากขึ้น เป็นอีกหนึ่งแนวทางใหม่ในการกู้วิกฤติอาหารโลก

นอกจากนี้ ทีมวิจัยพบว่าไมซีเลียมของเห็ดนางรมยังอุดมไปด้วยโปรตีนและมีสารอาหารสำคัญต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี 5 และโปรวิตามินดี 2 ในขณะที่ระดับสารพิษในไมซีเลียมยังต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับเห็ดตามธรรมชาติ ซึ่งถือว่าปลอดภัยสำหรับการบริโภคอยู่แล้ว

จึงไม่น่าแปลกใจว่าได้รับการขนานนามว่าเป็น “สุดยอดแห่งวัตถุสีเขียวแห่งอนาคต”

ขณะที่ผลการสำรวจในห้องแล็บจากกลุ่มตัวอย่างยังชี้ให้เห็นถึงปฏิกิริยาเชิงบวกที่มีต่อไมซีเลียมที่ปลูกในน้ำซุป (ที่รับประทานได้) โดยเผยว่ามีรสชาติกลมกล่อมอูมามิ หรือ รสชาติของเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกแล้ว

...

แม้จะมีคำวิจารณ์แง่ลบอยู่บ้างอย่างเช่น มีรสขม มีรา รวมทั้งรสชาติคล้ายถั่วลิสง

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยยังคงศึกษาวิจัยศักยภาพในการใช้เชื้อราทดแทนเนื้อสัตว์และอาหารทะเลในห้องทดลองต่อไป เพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัยสำหรับการรับประทานจริงๆ แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือต้องการให้อร่อย ได้ทั้งเนื้อสัมผัส และคุณค่าทางโภชนาการ เพราะไม่เช่นนั้นแล้วก็คงจะไม่มีใครอยากลิ้มลอง.


อมรดา พงศ์อุทัย

คลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม