- ความรุนแรงทางการเมืองไม่ใช่เรื่องใหม่ในฟิลิปปินส์ เพราะฟิลิปปินส์เคยเป็นสถานที่สังหารหมู่คนทำงานสื่อที่เลวร้ายที่สุดในโลกเมื่อปี 2552 มีผู้คน 58 คน รวมถึงนักข่าว 32 คน ถูกสังหารขณะเดินทางในขบวนรถหาเสียงที่เกาะมินดาเนาทางตอนใต้ของประเทศ
- เมื่อไม่นานมานี้ ซารา ดูเตอร์เต กล่าวว่า เธอติดต่อคนให้ดำเนินการสังหารประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ภรรยาของเขา และนายมาร์ติน โรมูอัลเดซ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นญาติของนายมาร์กอส หากว่าเธอถูกฆาตกรรม ต่อมาเธอระบุว่า มีการหยิบยกสิ่งที่เธอพูดไว้ไปกล่าวต่อโดยไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
- ดราม่าการเมืองของฟิลิปปินส์ อาจสร้างความกังวลให้กับพันธมิตรและหุ้นส่วนของฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ซึ่งสนับสนุนนโยบายของนายมาร์กอส จูเนียร์ ที่ต้องการตอบโต้การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ของจีนในทะเลจีนใต้ ซึ่งมีการขนส่งสินค้ามูลค่ากว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐผ่านทุกปี
ความรุนแรงทางการเมืองไม่ใช่เรื่องใหม่ในฟิลิปปินส์ เพราะฟิลิปปินส์เคยเป็นสถานที่สังหารหมู่คนทำงานสื่อที่เลวร้ายที่สุดในโลกเมื่อปี 2552 มีผู้คน 58 คน รวมถึงนักข่าว 32 คน ถูกสังหารขณะเดินทางในขบวนรถหาเสียงที่เกาะมินดาเนาทางตอนใต้ของประเทศ
กลุ่มอัมปาตวนที่ทรงอำนาจได้ขุดหลุมศพขนาดใหญ่ไว้ล่วงหน้า เพื่อเตรียมให้รถยนต์ที่บรรทุกญาติของนายเอสมาเอล มังกูดาดาตู คู่แข่งของพวกเขา มาถึงจุดตรวจของตำรวจ ก่อนที่มือปืนติดอาวุธหนักได้สกัดกั้นขบวนรถแล้วสังหารและฝังพวกเขาทั้งหมด
หลังจากนั้นไม่นาน การเดินทางไปเกาะมินดาเนาของทีมกลุ่มเสรีภาพสื่อ ซึ่งรวมถึงคณะกรรมการปกป้องนักข่าวและสหพันธ์นักข่าวระหว่างประเทศที่ตรวจสอบการสังหารดังกล่าว ก็พบแต่ความน่าสะพรึงกลัว โดยพบว่ามีการลอบสังหารและลักพาตัวคนในพื้นที่อย่างต่อเนื่องตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นอีกมาก
...
ดังนั้น เมื่อรองประธานาธิบดี ซารา ดูเตอร์เต บุตรสาวของอดีตประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต เผยแพร่คลิปวิดีโอที่ชวนให้ประหลาดใจ เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน โดยบอกกับประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ว่าเธอจะลอบสังหารเขา หากมีคนพยายามสังหารเธอ หลายคนก็เบือนหน้าหนีและเตรียมรับมือกับการสู้รบรอบใหม่ เว็บไซต์สื่อที่มีอิทธิพลอย่าง Rappler เป็นสื่อแรกที่ฉายภาพความคล้ายคลึงดังกล่าว โดยพาดหัวข่าวระบุว่า "Sara Duterte Unleashes The Ampatuan Within" หรือ "ซารา ดูเตอร์เต ปลดปล่อยความเป็นอัมพาตวนในตัวเอง" โดยวิดีโอของเธอเผยแพร่ในวันครบรอบ 15 ปีของการสังหารหมู่
โดยล่าสุด พันธมิตรกลุ่มภาคประชาสังคมในฟิลิปปินส์ยื่นคำร้อง ขอให้ถอดถอนรองประธานาธิบดีซารา ดูเตอร์เต ออกจากตำแหน่ง จากข้อกล่าวหาว่า เธอประพฤติมิชอบอย่างร้ายแรงและฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ
ผู้ที่ร่วมยื่นคำร้องให้ถอดถอนรองประธานาธิบดีซารา ดูเตอร์เต ประกอบไปด้วยผู้นำภาคประชาสังคมและผู้นำทางศาสนา รวมถึงอดีตเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เคยวิพากษ์ตำหนิบิดาของเธอตั้งแต่สมัยเขายังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี คำร้องดังกล่าวระบุว่า ซารา ดูเตอร์เต ละเมิดรัฐธรรมนูญด้วยการไม่ยอมเข้ารับการไต่สวนเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณของเธอ ซึ่งฝ่าฝืนหลักการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจและการตรวจสอบการทุจริต ทั้งในตำแหน่งรองประธานาธิบดีและรัฐมนตรีศึกษา เธอยังถูกกล่าวหาว่า ไร้ประสิทธิภาพและละเลยต่อหน้าที่
ดูเตอร์เตประกาศลาออกจากคณะรัฐมนตรีของมาร์กอสเมื่อเดือนมิถุนายน ในขณะที่ยังดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี โดยเน้นย้ำถึงขอบเขตของความขัดแย้งระหว่างสองตระกูล ตั้งแต่นั้นมา เธอได้วิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีมาร์กอสอย่างรุนแรง โดยขู่ว่าจะขุดศพของพ่อของเขาขึ้นมาแล้วโยนลงทะเล และบอกว่าเธอจินตนาการถึงการตัดศีรษะของเขา
ดูเตอร์เตยังกล่าวหาเช่นเดียวกับที่คนอื่นๆ เคยกล่าวหามาก่อนว่า ตระกูลมาร์กอสวางแผนลอบสังหารนายเบนิกโน อากีโน อดีตวุฒิสมาชิก ซึ่งเป็นสมาชิกตระกูลการเมืองขนาดใหญ่อีกตระกูลหนึ่ง ในปี 1983
ส่วนนายมาร์กอสได้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยให้เข้มงวดยิ่งขึ้น และกล่าวว่า "ไม่ควรเพิกเฉยต่อความพยายามก่ออาชญากรรมดังกล่าว" ขณะที่สำนักงานสอบสวนแห่งชาติของฟิลิปปินส์ได้ออกหมายเรียกซารา ดูเตอร์เต แม้ว่าเธอได้ออกมาแก้ต่างต่อคำพูดดังกล่าว แต่ก็ยากที่จะเพิกเฉยต่อความคิดเกี่ยวกับความรุนแรงที่มีต่อประธานาธิบดี ที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง คณะกรรมการของรัฐบาลได้เลื่อนการพิจารณาคดีในวันศุกร์ (29 พ.ย.) เกี่ยวกับข้อกล่าวหาที่ว่าดูเตอร์เตใช้เงินของรัฐในทางที่ผิด ซึ่งเธอได้ปฏิเสธ
...
ความบาดหมางระหว่างตระกูลและความไม่มั่นคงในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด
แล้วตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้น? การเลือกตั้งกลางเทอมของฟิลิปปินส์ จะเกิดขึ้นในปี 2025 และนายดูเตอร์เตผู้เป็นพ่อ ได้ยื่นใบสมัครเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีเมืองดาเวา บนเกาะมินดาเนา ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาเคยดำรงตำแหน่งมาก่อน และเป็นตำแหน่งที่ตระกูลของเขาครองมาเป็นเวลาสามทศวรรษ ลูกชายสองคนของเขากำลังวางแผนที่จะลงสมัครชิงตำแหน่งวุฒิสมาชิกเช่นกัน
แน่นอนว่านายมาร์กอสเองก็อยู่ในการสืบทอดตำแหน่งของตระกูล เขาเป็นลูกชายของผู้นำอดีตเผด็จการ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ซึ่งเป็นที่รู้จักในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันและการปราบปรามทางการเมืองที่รุนแรง ในขณะที่อีมี น้องสาวของเขาเป็นวุฒิสมาชิก ลูกชายของเขาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และลูกพี่ลูกน้องของเขาเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร
การเล่นการเมืองแบบตระกูลดำเนินไปอย่างดุเดือด และหากไม่สามารถควบคุมได้ ความบาดหมางครั้งนี้จะทำให้ฟิลิปปินส์อยู่ในเส้นทางแห่งความไม่มั่นคงอีกครั้งในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด นั่นคือ ฟิลิปปินส์ต้องรับมือกับภัยคุกคามรายวันจากจีนในทะเลจีนใต้ และเผชิญกับความไม่แน่นอนที่มาพร้อมกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เพิ่งได้รับเลือกตั้งในทำเนียบขาว
การคลุมถุงชนทางการเมืองระหว่างตระกูลคู่แข่งที่เกิดขึ้นระหว่างการเลือกตั้งปี 2022 ซึ่งทำให้นายมาร์กอส จูเนียร์ ขึ้นสู่อำนาจนั้นไม่มีวันคงอยู่ได้
สถานการณ์เลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว เมื่อสภาผู้แทนราษฎรเริ่มการพิจารณาคดีในเดือนสิงหาคม เพื่อตรวจสอบสงครามยาเสพติดที่ร้ายแรงของนายดูเตอร์เต รวมถึงการกระทำของลูกสาวของเขาในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ นอกจากนี้ยังมีแรงกดดันอื่นๆ อีกด้วย โดยศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ยังกำลังสอบสวนการสังหารนอกกระบวนการของนายดูเตอร์เต ในระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีตั้งแต่ปี 2016 ถึง 2022 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 6,000 ราย ด้านกลุ่มสิทธิมนุษยชน เช่น แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่ายอดผู้เสียชีวิตอาจสูงถึง 30,000 ราย
...
แม้ว่านายมาร์กอส จูเนียร์ จะกล่าวว่าเขาไม่สนับสนุนการสอบสวนจากภายนอก แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรื่องนี้ทำให้กลุ่มของนายดูเตอร์เตรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อเลขาธิการฝ่ายบริหารของเขาประกาศว่าหาก ICC ส่งต่อกระบวนการดังกล่าวไปยังตำรวจสากลและขอความช่วยเหลือจากฟิลิปปินส์ ฟิลิปปินส์จะได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่
การตอบโต้จีน
ดราม่าการเมืองภายในประเทศทั้งหมดนี้ อาจสร้างความกังวลให้กับพันธมิตรและหุ้นส่วนของฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ซึ่งสนับสนุนนโยบายของนายมาร์กอส จูเนียร์ ที่ต้องการตอบโต้การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ของจีนในทะเลจีนใต้ ซึ่งมีการขนส่งสินค้ามูลค่ากว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐผ่านทุกปี
เมื่อนายมาร์กอส จูเนียร์เข้ารับตำแหน่ง เขาได้ชักจูงให้ฟิลิปปินส์เลิกใช้แนวทางที่ผ่อนปรนต่อจีนของประธานาธิบดีคนก่อน โดยให้กองทัพสหรัฐฯ เข้าถึงฐานทัพได้มากขึ้น เพิ่มภารกิจทางทะเลในเส้นทางทะเลที่เป็นข้อพิพาท และเผยแพร่การโจมตีอย่างรุนแรงต่อเรือของฟิลิปปินส์โดยหน่วยยามฝั่งจีนอย่างต่อเนื่อง
...
ต้นเดือนนี้ ประธานาธิบดีได้ลงนามในกฎหมาย 2 ฉบับ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับการอ้างสิทธิ์ทางทะเลของฟิลิปปินส์ รวมถึงกฎหมายฉบับหนึ่งที่สร้างระบบให้เรือและเครื่องบินต่างชาติใช้สิทธิในการผ่านน่านน้ำและน่านฟ้าของฟิลิปปินส์ โดยจีนซึ่งอ้างสิทธิ์เหนือพื้นที่ส่วนใหญ่ในทะเลจีนใต้ ประณามการเคลื่อนไหวดังกล่าวอย่างรุนแรง
รัฐบาลฟิลิปปินส์ไม่สามารถเสียสมาธิกับการแข่งขันระหว่างกลุ่มและการคุกคามความรุนแรงรอบล่าสุดนี้ได้ ทรัมป์ได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่สนับสนุนจีน 2 คน ให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของเขา โดยวุฒิสมาชิกมาร์โก รูบิโอ อยู่ในลำดับที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ ขณะที่ไมค์ วอลทซ์ มีแนวโน้มว่าจะดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ
นั่นหมายความว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนกำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากอีกครั้ง และคาดว่าพันธมิตรตามสนธิสัญญาอย่างฟิลิปปินส์จะยังคงใช้จุดยืนที่แข็งกร้าวต่อปักกิ่งต่อไป
นายมาร์กอส จูเนียร์ ยังคงสามารถจัดการกับเรื่องดราม่าได้ดีจนถึงตอนนี้ แต่เขาจำเป็นต้องจัดการเรื่องในบ้านให้เข้าที่เข้าทาง แม้ว่าการเมืองของฟิลิปปินส์จะน่าตกตะลึงเพียงใด แต่ก็ยังมีปัญหาใหญ่ๆ อีกหลายประเด็นที่ต้องจัดการ และจะต้องทำให้พันธมิตรที่มีอำนาจมีความพอใจ.
ที่มา CNA
อ่านข่าวเพิ่มเติม https://www.thairath.co.th/news/foreign